OUR BLOG

“อาหาร” จดสิทธิบัตรได้หรือไม่ และจะนำไปสร้างมูลค่าได้อย่างไร?

“อาหาร” จดสิทธิบัตรได้หรือไม่

รู้หรือไม่? “อาหาร” จานเด็ดที่เราทานกันอยู่ทุกวันนี้ อาจได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา
ส่วนที่ได้รับความคุ้มครองดังกล่าวนั้น ไม่ได้คุ้มครองเมนูอาหารแต่อย่างใด หากแต่เป็นการคุ้มครองในส่วนของสูตร กรรมวิธีการผลิตให้ได้มาซึ่งอาหารนั้น เช่นนั้นแล้วการเริ่มต้นทำธุรกิจอาหาร สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงคือเรื่องการรังสรรค์สูตรลับที่เป็นเอกลักษณ์ หรือกรรมวิธีที่มีคุณภาพและแตกต่างจากงานที่ได้รับการจดสิทธิบัตรไว้แล้ว เพราะนอกจากจะทำให้ไม่เป็นการละเมิดผู้อื่นแล้ว ยังช่วยสร้างมูลค่าและความโดดเด่นให้กับธุรกิจของคุณอีกด้วย

บทความนี้จะชวนทุกคนมาทำความรู้จักว่า “อาหาร” สามารถขอรับความคุ้มครองใดได้บ้างในประเภทของทรัพย์สินทางปัญญา และจะสร้างมูลค่าได้อย่างไร

การคุ้มครองสูตรอาหารด้วยสิทธิบัตร

หลายคนอาจจะเข้าใจว่าการนำสูตรอาหารมาจดสิทธิบัตร หมายความว่าผู้อื่นจะไม่สามารถทำเมนูอาหารแบบเดียวกันกับที่ยื่นจดไว้แล้วได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วสิทธิบัตรอาหาร จะคุ้มครองในส่วนของสูตร ซึ่งจะต้องเปิดเผยรายละเอียดของส่วนผสม และสัดส่วนที่ระบุในรูปแบบของช่วงปริมาณตามที่เรากำหนดไว้ให้ชัดแจ้ง ในขณะที่หากเป็นกรรมวิธีการผลิต ก็จะต้องระบุขั้นตอน หรือสภาวะต่าง ๆ ที่ทำให้ได้มาซึ่งอาหารนั้น ๆ
สิทธิบัตรอาหารที่สามารถจดได้มี 2 ประเภทด้วยกันคือ สิทธิบัตรการประดิษฐ์ มีอายุความคุ้มครอง 20 ปี และ
อนุสิทธิบัตร มีอายุความคุ้มครอง 10 ปี โดยสิทธิบัตรทั้ง 2 ประเภทจำเป็นต้องมีความใหม่ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมได้ (ผลิตซ้ำได้) และมีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น สำหรับการขอรับความคุ้มครองในรูปแบบสิทธิบัตรการประดิษฐ์ คือไม่สามารถคาดเดาถึงผลลัพธ์ได้ง่ายโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ ดังนั้นหาก
เมนูอาหาร ที่ผู้อื่นสามารถคาดเดาได้ว่าในสูตรของเรามีส่วนผสมหรือวัตถุดิบอะไรบ้าง ก็อาจจะไม่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวนั่นเอง ที่สำคัญคือ เมื่อสิ้นอายุความคุ้มครองของสิทธิบัตรในแต่ละประเภท จะไม่สามารถต่ออายุหรือใช้สิทธิความเป็นเจ้าของในการจำหน่าย ทำซ้ำ หรือนำเข้าแต่เพียงผู้เดียวได้อีกต่อไป แต่จะตกเป็นของสาธารณะที่ใครก็สามารถนำไปต่อยอดให้เกิดการพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้

สรุปแล้วหากเราจะนำสูตรอาหารไปจด จะรู้ได้อย่างไรว่างานของเราต่างจากเจ้าอื่น ๆ ที่ได้จดสิทธิบัตรไว้แล้ว
หรือไม่? เราขอแนะนำให้คุณพิจารณาว่า แม้จะเป็นอาหารชนิดเดียวกัน แต่หากสูตรของคุณมีส่วนประกอบ ปริมาณสัดส่วน หรือกรรมวิธีที่ต่างจากงานเดิมอย่างมีนัยสำคัญ หรือมีผลทางเทคนิคที่ช่วยให้ผลลัพธ์ดีขึ้น
ก็อาจยื่นขอรับความคุ้มครองได้นั่นเอง

ตัวอย่างที่ผู้คนมักนำมาจดสิทธิบัตรอาหารกันคือ

  • กรรมวิธีการผลิตอาหาร ที่มีขั้นตอนหรือกระบวนการที่ทำให้อาหารนั้น ๆ มีความแตกต่างและซับซ้อนจาก
    วิธีเดิม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เช่น ยืดอายุอาหารให้นานขึ้น, ลดขั้นตอนในการผลิต หรือลดต้นทุน เช่น กรรมวิธีการแปรรูปผลไม้แบบไม่ใช้สารเคมี หรือวิธีผลิตนมพร่องไขมันแบบรักษารสชาติ
  • องค์ประกอบใหม่ของอาหาร คุ้มครองการใช้วัตถุดิบ หรือส่วนประกอบที่แตกต่าง หรือทำให้เกิดคุณสมบัติใหม่ เช่น มันฝรั่งทอดที่มีส่วนผสมของเนื้อปลาทู และผลิตภัณฑ์ปาดขนมปังเสริมแมลงกินได้ที่ได้รับความคุ้มครองด้วยอนุสิทธิบัตร
  • เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ในการผลิตอาหาร คุ้มครองการทำงาน หน้าที่ คุณสมบัติ ส่วนประกอบของเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ในการผลิตอาหารนั้น ๆ เช่น เครื่องปอกเปลือกผลไม้แบบอัตโนมัติโดยคุ้มครองกลไกที่สามารถจับและปอกผลไม้หลายชนิดได้อย่างแม่นยำโดยไม่เสียเนื้อ หรืออุปกรณ์อบแห้งแบบสุญญากาศชนิดหมุนได้ คุ้มครองการออกแบบถังหมุนเพื่อให้การอบแห้งสม่ำเสมอ และลดเวลาการผลิต

แม้ในประเทศไทยจะโดนเด่นในเรื่องของอาหาร แต่ด้วยความที่สูตรอาหาร และกรรมวิธีที่ใช้กันอย่าง แพร่หลาย
ทำให้อาจขาดในเรื่องของความใหม่ และเรื่องของการคาดเดาผลลัพธ์ที่อาจท าตามได้ง่าย โดยเฉพาะเมนูอาหารทั่วไป เช่น ผัดกะเพรา ส้มต า ต้มยำกุ้ง อย่างไรก็ตามหากคุณมีสูตรเด็ด หรือกรรมวิธีที่แตกต่างจากเจ้า อื่น ๆ ที่มีอยู่แล้ว ก็อาจขอรับความคุ้มครองเป็นอนุสิทธิบัตร หรือเก็บไว้เป็นความลับทางการค้าได้

สูตรลับที่คุ้มครองด้วยความลับทางการค้า

จากหัวข้อก่อนหน้า หากคุณนำสูตรอาหารไปจดสิทธิบัตร ก็จำเป็นจะต้องเปิดเผยสู่สาธารณะ ดังนั้นสิ่งที่น่า
กังวลคือ หากเราระบุส่วนผสม สัดส่วน หรือกรรมวิธีที่เราใช้ให้ได้มาซึ่งความพิเศษแบบหมดเปลือก ก็อาจเหมือนเป็นการชี้ทางให้ผู้อื่นนำไปดัดแปลงสูตรบางส่วน และได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับงานของเราก็เป็นได้ ดังนั้นอีก
หนึ่งทางเลือกในการคุ้มครองสูตรอาหาร และเป็นกลยุทธ์ในการเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจของคุณได้ในระยะยาวคือ
ความลับทางการค้า” พระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ. 2545 ได้ให้ความหมายของคำว่า “ความลับทางการค้า” ไว้ว่าเป็นข้อมูลการค้าซึ่งยังไม่รู้จักโดยทั่วไป และไม่สามารถเข้าถึงได้ในกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลดังกล่าว โดยเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และเป็นข้อมูลที่ผู้ควบคุมความลับทางการค้าได้ใช้มาตรการที่เหมาะสมเพื่อรักษาไว้เป็นความลับ กล่าวได้ว่า หากการเปิดเผยสูตรในการจดสิทธิบัตรอาจส่งผลให้มูลค่าธุรกิจของคุณลดลง ความลับทางการค้าก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยปกป้องสูตรลับของคุณไปตลอดตราบเท่าที่มันยังเป็นความลับ เนื่องจากไม่ได้มีกำหนดอายุความคุ้มครอง โดยคุณอาจพิจารณาว่าสูตรอาหาร กรรมวิธี หรือกระบวนการผลิตที่คุณมีนั้นเป็นความลับทางการค้าหรือไม่ ดังนี้

  • เป็นข้อมูลที่ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะหรือภายในบริษัทของคุณมาก่อน
  • สร้างความได้เปรียบทางธุรกิจมากน้อยแค่ไหน
  • หากข้อมูลหลุดออกไปอาจทำให้เสียผลประโยชน์บางอย่างหรือไม่

และเพื่อป้องกันไว้ซึ่งข้อมูลอันมีมูลค่าของธุรกิจคุณ มาตรการที่รักษาไว้ซึ่งความลับนั้นควรจะมีความรัดกุม และครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของตัวข้อมูล รวมไปถึงการเข้าถึงจากบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น หุ้นส่วน ซัพพลายเออร์ หรือแม้กระทั่งพนักงานในบริษัทด้วยเช่นกัน

ตัวอย่างความลับทางการค้าด้านอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ บริษัท Coca-Cola หรือโค้ก น้ำอัดลมสีดำสุดซ่าที่กินกับอะไรก็ลงตัว หรือแม้แต่น้ำจิ้มบาร์บีกอนของไทยที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ หวาน เค็ม พอดี ถูกปากใครหลาย ๆ คน ทว่าที่มาของสิ่งเหล่านี้ถูกเก็บไว้เป็นความลับทางการค้าอย่างเข้มงวด และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นจะที่เข้าถึงสูตรลับนี้

บทสรุป

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วหากคุณยังไม่แน่ใจว่า สูตรอาหาร หรือกรรมวิธีของคุณควรนำไปจดสิทธิบัตร หรือเก็บไว้เป็นความลับทางการค้าดี เราขอแนะนำให้คุณพิจารณาดังนี้

  • สูตรอาหาร หรือกรรมวิธีของคุณสามารถลอกเลียนแบบได้ง่ายหรือไม่ เช่น ถ้าสามารถคาดเดาได้ว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้าง ทั้งนี้หากไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย แนะนำให้เก็บไว้เป็นความลับทางการค้า แต่ถ้าหากสามารถลอกเลียนแบบได้ง่ายแนะนำให้ยื่นจดสิทธิบัตร
  • หากคุณอยากได้สิทธิความเป็นเจ้าของมากกว่า 10 หรือ 20 ปี ให้คุณเลือกเก็บไว้เป็นความลับทางการค้า เนื่องจากไม่มีอายุความคุ้มครองตราบเท่าที่ยังเป็นความลับ
  • หากข้อมูลเกิดรั่วไหล จะสร้างผลกระทบหรือความเสียหายต่อธุรกิจของคุณมากน้อยแค่ไหน

หรืออาจพิจารณาความแตกต่างระหว่างสิทธิบัตรกับความลับทางการค้าได้ดังภาพ 

จดสิทธิบัตรอาหาร

ดังนั้นคุณควรพิจารณาให้ครอบคลุมถึงข้อมูลธุรกิจที่เรามีอยู่ในมือ ถ้าหากคุณต้องการยื่นจดสิทธิบัตร จริง ๆ คุณอาจเลือกเปิดเผยข้อมูลเพียงบางส่วน หรือกำหนดช่วงปริมาณที่ไม่ชัดเจนจนเกินไป เพื่อป้องกัน การลอกเลียนแบบ ทั้งนี้ก็ควรมีการสืบค้นว่าข้อมูลดังกล่าวมีความแตกต่างจากงานเดิมเพียงพอหรือยัง พร้อมเก็บส่วนที่เป็นความเฉพาะของคุณไว้เป็นความลับทางการค้าเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจของคุณมากยิ่งขึ้น

หากคุณมีสูตรอาหาร หรือกรรมวิธีการผลิตที่ยังไม่มั่นใจว่าสามารถขอรับความคุ้มครองได้หรือไม่ ทาง IDG เรามีบริการให้คำปรึกษาแบบครบวงจร ทั้งในเรื่องของการยื่นจดสิทธิบัตรหรือความลับทางการค้า ที่จะช่วยจัดการการเข้าถึงข้อมูลความลับที่เหมาะสมให้กับธุรกิจของคุณ สามารถขอคำปรึกษากับเจ้าหน้าที่ของเราได้เลย ตอนนี้!

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 

อีเมล: [email protected]

โทร.: 02-011-7161 ถึง 6

Line: @idgthailand

Facebook: IDGThailand

“อาหาร” จดสิทธิบัตรได้หรือไม่

รู้หรือไม่? “อาหาร” จานเด็ดที่เราทานกันอยู่ทุกวันนี้ อาจได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา
ส่วนที่ได้รับความคุ้มครองดังกล่าวนั้น ไม่ได้คุ้มครองเมนูอาหารแต่อย่างใด หากแต่เป็นการคุ้มครองในส่วนของสูตร กรรมวิธีการผลิตให้ได้มาซึ่งอาหารนั้น เช่นนั้นแล้วการเริ่มต้นทำธุรกิจอาหาร สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงคือเรื่องการรังสรรค์สูตรลับที่เป็นเอกลักษณ์ หรือกรรมวิธีที่มีคุณภาพและแตกต่างจากงานที่ได้รับการจดสิทธิบัตรไว้แล้ว เพราะนอกจากจะทำให้ไม่เป็นการละเมิดผู้อื่นแล้ว ยังช่วยสร้างมูลค่าและความโดดเด่นให้กับธุรกิจของคุณอีกด้วย

บทความนี้จะชวนทุกคนมาทำความรู้จักว่า “อาหาร” สามารถขอรับความคุ้มครองใดได้บ้างในประเภทของทรัพย์สินทางปัญญา และจะสร้างมูลค่าได้อย่างไร

การคุ้มครองสูตรอาหารด้วยสิทธิบัตร

หลายคนอาจจะเข้าใจว่าการนำสูตรอาหารมาจดสิทธิบัตร หมายความว่าผู้อื่นจะไม่สามารถทำเมนูอาหารแบบเดียวกันกับที่ยื่นจดไว้แล้วได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วสิทธิบัตรอาหาร จะคุ้มครองในส่วนของสูตร ซึ่งจะต้องเปิดเผยรายละเอียดของส่วนผสม และสัดส่วนที่ระบุในรูปแบบของช่วงปริมาณตามที่เรากำหนดไว้ให้ชัดแจ้ง ในขณะที่หากเป็นกรรมวิธีการผลิต ก็จะต้องระบุขั้นตอน หรือสภาวะต่าง ๆ ที่ทำให้ได้มาซึ่งอาหารนั้น ๆ
สิทธิบัตรอาหารที่สามารถจดได้มี 2 ประเภทด้วยกันคือ สิทธิบัตรการประดิษฐ์ มีอายุความคุ้มครอง 20 ปี และ
อนุสิทธิบัตร มีอายุความคุ้มครอง 10 ปี โดยสิทธิบัตรทั้ง 2 ประเภทจำเป็นต้องมีความใหม่ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมได้ (ผลิตซ้ำได้) และมีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น สำหรับการขอรับความคุ้มครองในรูปแบบสิทธิบัตรการประดิษฐ์ คือไม่สามารถคาดเดาถึงผลลัพธ์ได้ง่ายโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ ดังนั้นหาก
เมนูอาหาร ที่ผู้อื่นสามารถคาดเดาได้ว่าในสูตรของเรามีส่วนผสมหรือวัตถุดิบอะไรบ้าง ก็อาจจะไม่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวนั่นเอง ที่สำคัญคือ เมื่อสิ้นอายุความคุ้มครองของสิทธิบัตรในแต่ละประเภท จะไม่สามารถต่ออายุหรือใช้สิทธิความเป็นเจ้าของในการจำหน่าย ทำซ้ำ หรือนำเข้าแต่เพียงผู้เดียวได้อีกต่อไป แต่จะตกเป็นของสาธารณะที่ใครก็สามารถนำไปต่อยอดให้เกิดการพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้

สรุปแล้วหากเราจะนำสูตรอาหารไปจด จะรู้ได้อย่างไรว่างานของเราต่างจากเจ้าอื่น ๆ ที่ได้จดสิทธิบัตรไว้แล้ว
หรือไม่? เราขอแนะนำให้คุณพิจารณาว่า แม้จะเป็นอาหารชนิดเดียวกัน แต่หากสูตรของคุณมีส่วนประกอบ ปริมาณสัดส่วน หรือกรรมวิธีที่ต่างจากงานเดิมอย่างมีนัยสำคัญ หรือมีผลทางเทคนิคที่ช่วยให้ผลลัพธ์ดีขึ้น
ก็อาจยื่นขอรับความคุ้มครองได้นั่นเอง

ตัวอย่างที่ผู้คนมักนำมาจดสิทธิบัตรอาหารกันคือ

  • กรรมวิธีการผลิตอาหาร ที่มีขั้นตอนหรือกระบวนการที่ทำให้อาหารนั้น ๆ มีความแตกต่างและซับซ้อนจาก
    วิธีเดิม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เช่น ยืดอายุอาหารให้นานขึ้น, ลดขั้นตอนในการผลิต หรือลดต้นทุน เช่น กรรมวิธีการแปรรูปผลไม้แบบไม่ใช้สารเคมี หรือวิธีผลิตนมพร่องไขมันแบบรักษารสชาติ
  • องค์ประกอบใหม่ของอาหาร คุ้มครองการใช้วัตถุดิบ หรือส่วนประกอบที่แตกต่าง หรือทำให้เกิดคุณสมบัติใหม่ เช่น มันฝรั่งทอดที่มีส่วนผสมของเนื้อปลาทู และผลิตภัณฑ์ปาดขนมปังเสริมแมลงกินได้ที่ได้รับความคุ้มครองด้วยอนุสิทธิบัตร
  • เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ในการผลิตอาหาร คุ้มครองการทำงาน หน้าที่ คุณสมบัติ ส่วนประกอบของเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ในการผลิตอาหารนั้น ๆ เช่น เครื่องปอกเปลือกผลไม้แบบอัตโนมัติโดยคุ้มครองกลไกที่สามารถจับและปอกผลไม้หลายชนิดได้อย่างแม่นยำโดยไม่เสียเนื้อ หรืออุปกรณ์อบแห้งแบบสุญญากาศชนิดหมุนได้ คุ้มครองการออกแบบถังหมุนเพื่อให้การอบแห้งสม่ำเสมอ และลดเวลาการผลิต

แม้ในประเทศไทยจะโดนเด่นในเรื่องของอาหาร แต่ด้วยความที่สูตรอาหาร และกรรมวิธีที่ใช้กันอย่าง แพร่หลาย
ทำให้อาจขาดในเรื่องของความใหม่ และเรื่องของการคาดเดาผลลัพธ์ที่อาจท าตามได้ง่าย โดยเฉพาะเมนูอาหารทั่วไป เช่น ผัดกะเพรา ส้มต า ต้มยำกุ้ง อย่างไรก็ตามหากคุณมีสูตรเด็ด หรือกรรมวิธีที่แตกต่างจากเจ้า อื่น ๆ ที่มีอยู่แล้ว ก็อาจขอรับความคุ้มครองเป็นอนุสิทธิบัตร หรือเก็บไว้เป็นความลับทางการค้าได้

สูตรลับที่คุ้มครองด้วยความลับทางการค้า

จากหัวข้อก่อนหน้า หากคุณนำสูตรอาหารไปจดสิทธิบัตร ก็จำเป็นจะต้องเปิดเผยสู่สาธารณะ ดังนั้นสิ่งที่น่า
กังวลคือ หากเราระบุส่วนผสม สัดส่วน หรือกรรมวิธีที่เราใช้ให้ได้มาซึ่งความพิเศษแบบหมดเปลือก ก็อาจเหมือนเป็นการชี้ทางให้ผู้อื่นนำไปดัดแปลงสูตรบางส่วน และได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับงานของเราก็เป็นได้ ดังนั้นอีก
หนึ่งทางเลือกในการคุ้มครองสูตรอาหาร และเป็นกลยุทธ์ในการเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจของคุณได้ในระยะยาวคือ
ความลับทางการค้า” พระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ. 2545 ได้ให้ความหมายของคำว่า “ความลับทางการค้า” ไว้ว่าเป็นข้อมูลการค้าซึ่งยังไม่รู้จักโดยทั่วไป และไม่สามารถเข้าถึงได้ในกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลดังกล่าว โดยเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และเป็นข้อมูลที่ผู้ควบคุมความลับทางการค้าได้ใช้มาตรการที่เหมาะสมเพื่อรักษาไว้เป็นความลับ กล่าวได้ว่า หากการเปิดเผยสูตรในการจดสิทธิบัตรอาจส่งผลให้มูลค่าธุรกิจของคุณลดลง ความลับทางการค้าก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยปกป้องสูตรลับของคุณไปตลอดตราบเท่าที่มันยังเป็นความลับ เนื่องจากไม่ได้มีกำหนดอายุความคุ้มครอง โดยคุณอาจพิจารณาว่าสูตรอาหาร กรรมวิธี หรือกระบวนการผลิตที่คุณมีนั้นเป็นความลับทางการค้าหรือไม่ ดังนี้

  • เป็นข้อมูลที่ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะหรือภายในบริษัทของคุณมาก่อน
  • สร้างความได้เปรียบทางธุรกิจมากน้อยแค่ไหน
  • หากข้อมูลหลุดออกไปอาจทำให้เสียผลประโยชน์บางอย่างหรือไม่

และเพื่อป้องกันไว้ซึ่งข้อมูลอันมีมูลค่าของธุรกิจคุณ มาตรการที่รักษาไว้ซึ่งความลับนั้นควรจะมีความรัดกุม และครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของตัวข้อมูล รวมไปถึงการเข้าถึงจากบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น หุ้นส่วน ซัพพลายเออร์ หรือแม้กระทั่งพนักงานในบริษัทด้วยเช่นกัน

ตัวอย่างความลับทางการค้าด้านอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ บริษัท Coca-Cola หรือโค้ก น้ำอัดลมสีดำสุดซ่าที่กินกับอะไรก็ลงตัว หรือแม้แต่น้ำจิ้มบาร์บีกอนของไทยที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ หวาน เค็ม พอดี ถูกปากใครหลาย ๆ คน ทว่าที่มาของสิ่งเหล่านี้ถูกเก็บไว้เป็นความลับทางการค้าอย่างเข้มงวด และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นจะที่เข้าถึงสูตรลับนี้

บทสรุป

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วหากคุณยังไม่แน่ใจว่า สูตรอาหาร หรือกรรมวิธีของคุณควรนำไปจดสิทธิบัตร หรือเก็บไว้เป็นความลับทางการค้าดี เราขอแนะนำให้คุณพิจารณาดังนี้

  • สูตรอาหาร หรือกรรมวิธีของคุณสามารถลอกเลียนแบบได้ง่ายหรือไม่ เช่น ถ้าสามารถคาดเดาได้ว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้าง ทั้งนี้หากไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย แนะนำให้เก็บไว้เป็นความลับทางการค้า แต่ถ้าหากสามารถลอกเลียนแบบได้ง่ายแนะนำให้ยื่นจดสิทธิบัตร
  • หากคุณอยากได้สิทธิความเป็นเจ้าของมากกว่า 10 หรือ 20 ปี ให้คุณเลือกเก็บไว้เป็นความลับทางการค้า เนื่องจากไม่มีอายุความคุ้มครองตราบเท่าที่ยังเป็นความลับ
  • หากข้อมูลเกิดรั่วไหล จะสร้างผลกระทบหรือความเสียหายต่อธุรกิจของคุณมากน้อยแค่ไหน

หรืออาจพิจารณาความแตกต่างระหว่างสิทธิบัตรกับความลับทางการค้าได้ดังภาพ 

จดสิทธิบัตรอาหาร

ดังนั้นคุณควรพิจารณาให้ครอบคลุมถึงข้อมูลธุรกิจที่เรามีอยู่ในมือ ถ้าหากคุณต้องการยื่นจดสิทธิบัตร จริง ๆ คุณอาจเลือกเปิดเผยข้อมูลเพียงบางส่วน หรือกำหนดช่วงปริมาณที่ไม่ชัดเจนจนเกินไป เพื่อป้องกัน การลอกเลียนแบบ ทั้งนี้ก็ควรมีการสืบค้นว่าข้อมูลดังกล่าวมีความแตกต่างจากงานเดิมเพียงพอหรือยัง พร้อมเก็บส่วนที่เป็นความเฉพาะของคุณไว้เป็นความลับทางการค้าเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจของคุณมากยิ่งขึ้น

หากคุณมีสูตรอาหาร หรือกรรมวิธีการผลิตที่ยังไม่มั่นใจว่าสามารถขอรับความคุ้มครองได้หรือไม่ ทาง IDG เรามีบริการให้คำปรึกษาแบบครบวงจร ทั้งในเรื่องของการยื่นจดสิทธิบัตรหรือความลับทางการค้า ที่จะช่วยจัดการการเข้าถึงข้อมูลความลับที่เหมาะสมให้กับธุรกิจของคุณ สามารถขอคำปรึกษากับเจ้าหน้าที่ของเราได้เลย ตอนนี้!

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 

อีเมล: [email protected]

โทร.: 02-011-7161 ถึง 6

Line: @idgthailand

Facebook: IDGThailand

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ IDG

ผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมให้คำแนะนำคุณอย่างเต็มที่

ติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญ