สิทธิบัตร และอนุสิทธิบัตร คืออะไร ? การจดสิทธิบัตรเบื้องต้น มีขั้นตอนอย่างไร

จดสิทธิบัตร อนุสิทธิบัตร เบื้องต้น

สารบัญสิทธิบัตร

สิทธิบัตร คืออะไร?

สิทธิบัตร (Patent) คือ เอกสารทางกฎหมายที่ออกเพื่อคุ้มครองสิ่งประดิษฐ์หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ โดยให้สิทธิ์เฉพาะแก่เจ้าของในการผลิต ขาย ให้เช่า หรือแจกจ่ายการประดิษฐ์ในประเทศที่ได้รับการคุ้มครอง เจ้าของสิทธิบัตรสามารถกีดกันผู้อื่นจากการใช้ประโยชน์จากสิ่งประดิษฐ์หรือการออกแบบนั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีประโยชน์ใช้สอย เช่น อุปกรณ์ที่มีการทำงานเฉพาะ หรือการออกแบบที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น รูปทรง ลวดลาย หรือสีของผลิตภัณฑ์

ในการขอรับสิทธิบัตร ผู้ขอต้องเปิดเผยรายละเอียดของสิ่งประดิษฐ์หรือการออกแบบอย่างครบถ้วนต่อสำนักงานสิทธิบัตรในประเทศที่ต้องการการคุ้มครอง การมีสิทธิบัตรช่วยให้ผู้ประดิษฐ์สามารถพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ และใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การก่อตั้งธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์นวัตกรรม หรือการให้เช่าสิทธิ (license-out) ให้ผู้อื่นนำไปผลิตหรือพัฒนาต่อยอด”

ประเภทของสิทธิบัตร มีกี่ประเภท จดสิทธิบัตรอะไรได้บ้าง

ภายใต้กฎหมายแห่งราชอาณาจักรไทย สิทธิบัตรสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ 

  1. สิทธิบัตรการประดิษฐ์
  2. อนุสิทธิบัตร 
  3. สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์

1. สิทธิบัตรการประดิษฐ์ คืออะไร?

สิทธิบัตรการประดิษฐ์ คือ ทรัพย์สินทางปัญญาที่มอบให้กับผลงานสร้างสรรค์ที่เกิดจากการประดิษฐ์ที่มีความสามารถในการแก้ปัญหาทางเทคนิคที่ซับซ้อนและไม่สามารถคิดค้นได้โดยง่าย สิทธิบัตรการประดิษฐ์ช่วยคุ้มครองแนวคิดและนวัตกรรมที่มีความสำคัญในเชิงเทคนิค ส่งเสริมการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และให้สิทธิ์เฉพาะแก่ผู้ประดิษฐ์ในการนำผลงานไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ในตลาด

ปกป้องการประดิษฐ์ที่มีการใช้งานหรือมีประโยชน์ใช้สอย การประดิษฐ์อาจรวมถึง ลักษณะ องค์ประกอบ กลไก โครงสร้าง กระบวนการ หรือ กรรมวิธี สิทธิบัตรการประดิษฐ์มีอายุ 20 ปี นับจากวันที่ยื่นจดสิทธิบัตร และคุ้มครองในประเทศที่ยื่นจดเท่านั้น

3 หลักเกณฑ์ในการขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ มีหลักเกณฑ์สำคัญ 3 ประการที่ต้องปฏิบัติตามเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองจากสำนักงานสิทธิบัตร โดยมีรายละเอียดดังนี้

  1. สิ่งประดิษฐ์ต้องเป็นสิ่งใหม่ (Novelty)
    สิ่งประดิษฐ์ที่ยื่นขอรับสิทธิบัตรต้องเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีการเผยแพร่หรือเปิดเผยต่อสาธารณชนมาก่อนในระดับโลก ผู้ยื่นจดสิทธิบัตรต้องตรวจสอบว่าการประดิษฐ์นั้นไม่มีความเหมือนหรือคล้ายคลึงกับสิ่งประดิษฐ์ที่มีอยู่แล้ว ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากฐานข้อมูลสิทธิบัตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ วารสาร นิตยสาร หรือแหล่งข้อมูลอื่น ๆ การตรวจสอบนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าสิ่งประดิษฐ์ที่กำลังยื่นจดเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน และผู้ยื่นจดสิทธิบัตรต้องไม่เปิดเผยรายละเอียดหรือสาระสำคัญของสิ่งประดิษฐ์ก่อนวันที่ยื่นจดสิทธิบัตร เช่น การเผยแพร่ในงานประชุม สัมมนา สิ่งพิมพ์ หรือผ่านสื่อออนไลน์
  2. สิ่งประดิษฐ์ต้องมีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น (Inventive Step)
    สิ่งประดิษฐ์นั้นต้องมีคุณสมบัติทางเทคนิคที่ไม่ได้เป็นที่เข้าใจโดยง่ายสำหรับผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ ซึ่งหมายถึงว่าการประดิษฐ์นั้นต้องมีลักษณะที่ก้าวหน้ากว่าสิ่งที่มีอยู่แล้วในตลาด เพื่อยืนยันว่าเป็นการคิดค้นใหม่ที่มีความซับซ้อนสูงขึ้น การยื่นขอจดสิทธิบัตรอาจต้องอ้างอิงผลการทดสอบ ผลการวิจัย หรือการสืบค้นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสิ่งประดิษฐ์ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ (prior arts) เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างและความก้าวหน้าทางเทคนิคของสิ่งประดิษฐ์ที่กำลังยื่นขอสิทธิบัตร
  3. สิ่งประดิษฐ์ต้องสามารถใช้ในอุตสาหกรรมได้ (Industrial Applicability)
    สิ่งประดิษฐ์นั้นต้องมีความสามารถในการนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งได้ และต้องไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามหรือเป็นอันตรายต่อประชากรหรือประเทศชาติ เช่น อาวุธชีวเคมีหรืออุปกรณ์ในการขโมยข้อมูลจากบัตรเครดิต ทั้งนี้การประดิษฐ์ที่ไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้ในประเทศไทยรวมถึง จุลชีพที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ต้นไม้ สัตว์ กฎหรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ฐานข้อมูล โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และวิธีการวินิจฉัยหรือการรักษาโรคในมนุษย์และสัตว์
 

ตัวอย่างของสิ่งประดิษฐ์ที่อาจได้รับความคุ้มครองด้วยสิทธิบัตรการประดิษฐ์

  • กรรมวิธีผลิตผงซักฟอกใหม่ที่มีส่วนประกอบของสารสมุนไพรหลายชนิด (ไม่เป็นสารสกัดจากผลิตภัณฑ์น้ำมัน) เมื่อนำเอาสิ่งเหล่านี้มาผ่านกรรมวิธีการผลิตนี้แล้วทำให้เกิดผลบวกต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ (ควรมีผลการทดลองเพื่อประกอบการยื่นจดด้วย) เช่น การฆ่าเชื้อโรคที่ติดอยู่บนผ้า การระงับการแพร่เชื้อโรค ขจัดคราบต่างๆ และไม่มีพิษต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะมีผลที่ดีเหนือกว่าผงซักฟอกแบบเดิม
  • ระบบไฮบริดใหม่ (Hybrid) ที่ใช้พลังงานไฮโดรเจนในเครื่องยนต์และมีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและประหยัดต้นทุน เหนือกว่าเครื่องยนต์ระบบไฮบริดแบบเดิมในตลาด
  • ระบบการผลิตไม้กอล์ฟแบบใช้ข้อมูลดิจิตอลมาประกอบการผลิต ที่อำนวยให้ลูกค้าสามารถเลือกรูปร่างลักษณะ ขนาด ความโค้งมนและวัสดุให้ตรงตามความต้องการ ด้วยระบบการผลิตชนิดนี้ทำให้สามารถผลิตไม้กอล์ฟได้อย่างรวดเร็วทันที ลูกค้าสามารถรอรับกลับบ้านได้
สรุป : การขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ต้องผ่านการพิจารณาโดยยึดหลักเกณฑ์ทั้งสามประการดังกล่าว เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งประดิษฐ์นั้นเป็นสิ่งใหม่ มีความคิดสร้างสรรค์ที่สูง และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมได้ โดยไม่มีการขัดต่อกฎหมายหรือความปลอดภัยของสังคมและประเทศชาติ
ตัวอย่างสิทธิบัตรการประดิษฐ์
ตัวอย่าง สิทธิบัตรการประดิษฐ์​
สิทธิบัตรการประดิษฐ์​

2. อนุสิทธิบัตร คืออะไร?

อนุสิทธิบัตร เป็นหนังสือสำคัญที่รัฐออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์หรือการออกแบบที่มีความคิดสร้างสรรค์ในระดับที่ไม่ซับซ้อนหรือมีการพัฒนาเทคโนโลยีไม่สูงมาก โดยอาจเป็นการปรับปรุงหรือคิดค้นเพียงเล็กน้อย แต่มีประโยชน์ใช้สอยที่ชัดเจน อนุสิทธิบัตรช่วยให้ผู้ประดิษฐ์ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายในระยะเวลาที่กำหนด และสามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าผู้อื่นจะนำไอเดียไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

ปกป้องการประดิษฐ์ที่มีการใช้งานหรือมีประโยชน์ใช้สอย การประดิษฐ์อาจรวมถึง ลักษณะ องค์ประกอบ กลไก โครงสร้าง กระบวนการ หรือ กรรมวิธีอนุสิทธิบัตรมีอายุ 6 ปี นับจากวันที่ยื่นจด และคุ้มครองในประเทศที่ยื่นจดเท่านั้น เจ้าของสิทธิสามารถยื่นต่ออายุได้ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 ปี แต่ทั้งหมดไม่เกิน 10 ปี หลักเกณฑ์ “ขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น” จะไม่ถูกนำมาพิจารณาในการตรวจสอบคำขอรับอนุสิทธิบัตร เหมาะสมกับสิ่งประดิษฐ์ที่มีการพัฒนาหรือมีการปรับปรุงเล็กน้อย

อนุสิทธิบัตร มีหลักเกณฑ์สำคัญ 2 ประการที่ต้องปฏิบัติตามเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองจากสำนักงานสิทธิบัตร ดังนี้:

  1. ต้องเป็นสิ่งใหม่ (Novelty) สิ่งประดิษฐ์ที่ขอรับอนุสิทธิบัตรต้องเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีการเผยแพร่หรือเปิดเผยต่อสาธารณชนมาก่อนในระดับโลก ผู้ยื่นขอต้องตรวจสอบว่าสิ่งประดิษฐ์ของตนไม่ซ้ำหรือคล้ายคลึงกับสิ่งประดิษฐ์ที่มีอยู่แล้ว โดยการสืบค้นข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น ฐานข้อมูลสิทธิบัตร วารสาร นิตยสาร ข่าว หรือแหล่งข้อมูลอื่น ๆ นอกจากนี้ ผู้ยื่นจดต้องไม่เปิดเผยสาระสำคัญของสิ่งประดิษฐ์ก่อนวันที่จะยื่นขออนุสิทธิบัตร การเปิดเผยนี้รวมถึงการนำเสนอในการประชุมสัมมนา การออกร้าน สื่อออนไลน์ หรือสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้สิ่งประดิษฐ์ไม่สามารถถือว่าเป็นสิ่งใหม่ได้
  2. ต้องสามารถใช้ในอุตสาหกรรมได้ (Industrial Applicability) สิ่งประดิษฐ์ต้องมีคุณค่าหรือประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมในด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิต การเกษตร การแพทย์ หรืออื่น ๆ ในประเทศไทย สิ่งประดิษฐ์ต้องไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อความเป็นอยู่ของประชาชนหรือประเทศชาติ เช่น อาวุธชีวเคมีหรืออุปกรณ์สำหรับขโมยข้อมูลจากบัตรเครดิต นอกจากนี้ การประดิษฐ์บางประเภทที่ไม่สามารถขอรับอนุสิทธิบัตรได้รวมถึง จุลชีพที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ, ต้นไม้, สัตว์, ทฤษฎีหรือกฎทางวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์, ฐานข้อมูล, โปรแกรมคอมพิวเตอร์, และวิธีการวินิจฉัยหรือการรักษาโรคในมนุษย์และสัตว์ 

 

ตัวอย่างการประดิษฐ์ที่อาจได้รับความคุ้มครองด้วยอนุสิทธิบัตร

  • การออกแบบถุงใส่ไม้กอล์ฟที่มีพื้นที่แบ่งเป็นสัดส่วน เหมาะกับการจัดเก็บไม้กอล์ฟไม่ให้หล่นหรือหลุดออกจากถุงได้ มีช่องสำหรับใส่อุปกรณ์อื่นๆ เช่น ถุงมือ ลูกกอล์ฟ หรือไม้สำหรับตั้งลูกกอล์ฟ (tee)
  • หม้อต้มที่มีก้นหม้อเป็นพื้นผิวโค้งมน เพื่อกระจายความร้อนจากเตาให้หม้อต้มได้รับความร้อนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและหุงต้มได้รวดเร็วขึ้น
  • สูตรเครื่องสำอางที่ประกอบไปด้วยส่วนผสมอนุภาคทองขนาดนาโนเมตร (เรียกอีกอย่างว่า อนุภาคนาโน) ที่ช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างประกายหลังการทา

สรุป: เพื่อให้การขอรับอนุสิทธิบัตรสำเร็จตามหลักเกณฑ์ ทั้งสิ่งประดิษฐ์ต้องเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีการเปิดเผยมาก่อน และต้องมีความสามารถในการนำไปใช้ประโยชน์เชิงอุตสาหกรรมได้ โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรือผลกระทบเชิงลบต่อสังคมหรือประเทศชาติ

3. สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ คืออะไร?

สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ คือสิทธิพิเศษที่รัฐออกให้เพื่อคุ้มครองการออกแบบรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นและแตกต่างจากผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด โดยผู้ถือสิทธิบัตรจะได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการผลิตและจำหน่ายสินค้าตามการออกแบบดังกล่าวในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้อื่นนำการออกแบบไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต และยังส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในตลาด

การคุ้มครองรูปลักษณ์ ลวดลาย หรือสีสันของงานออกแบบผลิตภัณฑ์เท่านั้น (ไม่ปกป้องในแง่ของการใช้งานหรือประโยชน์ใช้สอย) สิทธิบัตรการออกแบบมีอายุ 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ยื่นจด และได้รับการคุ้มครองในประเทศที่ยื่นจดเท่านั้น

 

สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ มีหลักเกณฑ์สำคัญ 2 ประการที่ต้องปฏิบัติตาม ดังนี้:

  1. ต้องเป็นสิ่งใหม่ (Novelty) การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ยื่นขอรับสิทธิบัตรต้องเป็นการออกแบบที่ไม่เคยมีการเปิดเผยหรือเผยแพร่ต่อสาธารณะมาก่อนในระดับโลก ผู้ยื่นขอต้องตรวจสอบว่าการออกแบบนั้นไม่มีความเหมือนหรือคล้ายคลึงกับการออกแบบที่มีอยู่แล้ว โดยสามารถตรวจสอบผ่านแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น ฐานข้อมูลสิทธิบัตร วารสาร นิตยสาร ข่าว หรือแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่มีการเผยแพร่สิ่งประดิษฐ์ที่ใกล้เคียง นอกจากนี้ ผู้ยื่นจดต้องไม่เปิดเผยสาระสำคัญของการออกแบบก่อนวันที่ยื่นขอสิทธิบัตร เช่น การนำเสนอในการประชุมสัมมนา การออกร้าน สื่อออนไลน์ หรือสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าการออกแบบนั้นยังคงความใหม่
  2. การออกแบบต้องสามารถใช้ในอุตสาหกรรมหรืองานหัตถกรรมได้ (Industrial or Craft Applicability)การออกแบบผลิตภัณฑ์ต้องมีความสามารถในการนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมหรือการผลิตในงานหัตถกรรมต่าง ๆ และต้องได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง ในประเทศไทย การออกแบบต้องไม่กระทบต่อความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับศาสนา และต้องไม่สื่อถึงสิ่งอบายมุขหรือลามกอนาจาร เช่น การออกแบบนาฬิกาที่มีลักษณะเหมือนอวัยวะเพศ หรือโคมไฟที่มีรูปลักษณ์เหมือนเศียรพระพุทธรูป ซึ่งการออกแบบเหล่านี้จะไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้

ตัวอย่างการออกแบบที่อาจได้รับการคุ้มครองด้วยสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์

  • กระถางปลูกต้นไม้ที่มีก้นเป็นรูปทรงกลมมน
  • ตู้เย็นที่มีรูปร่างคล้ายนกเพนกวิน
  • การออกแบบรถจักรยานยนต์ที่มีความหลากหลายดีไซน์แต่มีการใช้งานหรือมีประโยชน์ใช้สอยคล้ายกัน

สรุป : เพื่อขอรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ ผู้ขอต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าการออกแบบนั้นเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมหรืองานหัตถกรรมได้ โดยไม่กระทบต่อความเชื่อทางศาสนาและไม่สื่อถึงสิ่งที่ไม่เหมาะสมทางสังคม

ตัวอย่างสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์

ตัวอย่างสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์
ตัวอย่างสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์

ความแตกต่างของสิทธิบัตรการประดิษฐ์และอนุสิทธิบัตร

สิทธิบัตรการประดิษฐ์
อนุสิทธิบัตร
การประดิษฐ์ที่มีความซับซ้อนหรือมีการแก้ไขปัญหา ทางเทคนิค (มีขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น)
การประดิษฐ์ง่ายๆ ไม่มีความซับซ้อน หรือเพิ่ม ประโยชน์ใช้สอย
ระยะเวลาคุ้มครอง 20 ปี
ระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปี (6 ปีนับตั้งเเต่วันที่ยื่นคำขอ ต่ออายุได้ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 ปี)
ใช้ระบบรอการตรวจสอบ (เมื่อผู้ขอยื่นคำขอให้ตรวจสอบอีกครั้ง)
ใช้ระบบรอการตรวจสอบ (เมื่อผู้ขอยื่นคำขอให้ตรวจสอบอีกครั้ง)
สิทธิที่ได้รับมีความมั่นคงกว่า (บุคคลอื่นจะเพิกถอนสิทธิบัตรต้องนำคดีสู่ศาลเท่านั้น)
สิทธิที่ได้รับไม่มั่นคง (บุคคลอื่นสามารถขอให้ตรวจสอบได้ภายใน 12 เดือนนับตั้งแต่จดทะเบียนซึ่งอาจถูกเพิกถอนได้)

ขั้นตอนการยื่นจดสิทธิบัตรด้วยตัวเอง ภายในประเทศไทย UPDATE 2023

ก่อนเราจะทำยื่นจดทะเบียนสิทธิบัตร เราควรรู้จักประเภทของสิทธิบัตร ทั้งหลักเกณฑ์ และรูปแบบความคุ้มครอง เพื่อให้เราสามารถดำเนินการตามขั้นตอนได้อย่างราบรื่น

ขั้นตอนการยื่นจดสิทธิบัตร
1. ร่างคำขอรับสิทธิบัตร
2. เตรียมเอกสารตามประเภทสิทธิบัตร

เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้อง 
 > รายละเอียดเพิ่มเติม

3. ยื่นคำขอรับสิทธิบัตร ชำระค่าธรรมเนียม

จดสิทธิบัตรที่ไหน?

การยื่นจดสิทธิบัตรด้วยตัวเองนั่นทำได้ไม่ยาก สถานที่ยื่นขอจดทะเบียน : เราสามารถยื่นคำขอจดทะเบียนได้ที่ ส่วนบริหารงานจดทะเบียน (ชั้น 3) สำนักสิทธิบัตร กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เลขที่ 44/100 ถ. สนามบินน้ำ ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดที่ท่านมีภูมิลำเนาอยู่

วิธีการยื่นขอจดทะเบียน

1. ยื่นขอโดยตรงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมชำระค่าธรรมเนียม
2. ส่งคำขอทางไปรษณีย์ลงทะเบียนถึงพนักงานเจ้าหน้าที่ พร้อมชำระค่าธรรมเนียม โดยชำระทางธนาณัติสั่งจ่ายในนาม กรมทรัพย์สินทางปัญญา

เอกสารการประกอบการจดสิทธิบัตร

สิทธิบัตรการประดิษฐ์ และอนุสิทธิบัตร
จดในนามบุคคลธรรมดา

กรณีผู้ประดิษฐ์เป็นบุคคลเดียวกับผู้ขอถือสิทธิ

  1. แบบพิมพ์คำขอ
  2. สำเนาบัตรประชาชนของผู้ขอรับความคุ้มครองและผู้ประดิษฐ์
  3. คำรับรองเกี่ยวกับสิทธิขอรับสิทธิบัตร
    /อนุสิทธิบัตร
  4. หนังสือมอบอำนาจ (กรณียื่นผ่านตัวแทน)
  5. รายละเอียดคำขอรับสิทธิบัตร
    1. รายละเอียดการประดิษฐ์
    2. ข้อถือสิทธิ
    3. รูปภาพ (ถ้ามี)
    4. บทสรุปการประดิษฐ์
กรณีผู้ประดิษฐ์กับผู้ขอถือสิทธิเป็นคนละคนกัน
  1. แบบพิมพ์คำขอ
  2. สำเนาบัตรประชาชนของผู้ขอรับความคุ้มครอง
  3. สำเนาบัตรประชาชนของผู้ประดิษฐ์
  4. หนังสือสัญญาโอนสิทธิขอรับสิทธิบัตร
    /อนุสิทธิบัตร
  5. หนังสือมอบอำนาจ (กรณียื่นผ่านตัวแทน)
  6. รายละเอียดคำขอรับสิทธิบัตร
    1. รายละเอียดการประดิษฐ์
    2. ข้อถือสิทธิ
    3. รูปภาพ (ถ้ามี)
    4. บทสรุปการประดิษฐ์
จดในนามนิติบุคคล
  1. แบบพิมพ์คำขอจดสิทธิบัตร อนุสิทธิบัตร
  2. สำเนาหนังสือรับรองบริษัท/ห้างหุ้นส่วน
  3. สำเนาบัตรประขาชนของผู้มีอำนาจลงนามของบริษัท/ห้างหุ้นส่วน
  4. สำเนาบัตรประชาชนของผู้ประดิษฐ์
  5. หนังสือสัญญาโอนสิทธิขอรับสิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตร
  6. หนังสือมอบอำนาจ (กรณียื่นผ่านตัวแทน)
  7. รายละเอียดคำขอรับสิทธิบัตร
    1. รายละเอียดการประดิษฐ์
    2. ข้อถือสิทธิ
    3. รูปภาพ (ถ้ามี)
    4. บทสรุปการประดิษฐ์

สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์

จดในนามบุคคลธรรมดา
กรณีผู้ประดิษฐ์เป็นบุคคลเดียวกับผู้ขอถือสิทธิ
  1. แบบพิมพ์คำขอ
  2. สำเนาบัตรประชาชนของผู้ขอรับความคุ้มครองและผู้ประดิษฐ์
  3. คำรับรองเกี่ยวกับสิทธิขอรับสิทธิบัตร
    /อนุสิทธิบัตร
  4. หนังสือมอบอำนาจ (กรณียื่นผ่านตัวแทน)
  5. รายละเอียดคำขอรับสิทธิบัตร
    1. รายละเอียดการประดิษฐ์
    2. ข้อถือสิทธิ
    3. รูปภาพ (ถ้ามี)
    4. บทสรุปการประดิษฐ์
กรณีผู้ประดิษฐ์กับผู้ขอถือสิทธิเป็นคนละคนกัน
  1. แบบพิมพ์คำขอ
  2. สำเนาบัตรประชาชนของผู้ขอรับความคุ้มครอง
  3. สำเนาบัตรประชาชนของผู้ประดิษฐ์
  4. หนังสือสัญญาโอนสิทธิขอรับสิทธิบัตร
    /อนุสิทธิบัตร
  5. หนังสือมอบอำนาจ (กรณียื่นผ่านตัวแทน)
  6. รูปภาพภายนอกของงานประดิษฐ์
    ทั้ง 6 ด้าน พร้อมภาพไอโซเมตริก
จดในนามนิติบุคคล
  1. แบบพิมพ์คำขอ
  2. สำเนาหนังสือรับรองบริษัท/ห้างหุ้นส่วน
  3. สำเนาบัตรประขาชนของผู้มีอำนาจลงนามของบริษัท/ห้างหุ้นส่วน
  4. สำเนาบัตรประชาชนของผู้ประดิษฐ์
  5. หนังสือสัญญาโอนสิทธิขอรับสิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตร
  6. หนังสือมอบอำนาจ (กรณียื่นผ่านตัวแทน)
  7. รูปภาพภายนอกของงานประดิษฐ์ทั้ง 6 ด้าน พร้อมภาพไอโซเมตริก

จดสิทธิบัตร กับ IDG

หากท่านต้องการประหยัดเวลา หรือหาผู้ช่วยในการดำเนินการด้านจดทะเบียนสิทธิบัตร ทั้งการร่าง ตรวจสอบ หรือยื่นจดทั้งในและต่างประเทศ ทาง IDG เรามีความพร้อมโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิบัตรโดยตรง และยังมีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคเฉพาะทาง ที่พร้อมถ่ายทอดนวัตกรรม หรือเทคโนโลยีของท่านออกมาได้อย่างมืออาชีพ 

อีกทั้งเรายังสามารถให้คำปรึกษาแนะนำถึงแนวทางในการคุ้มครองสิทธิบัตร อนุสิทธิบัตร และสิทธิบัตรออกแบบไปจนถึง การนำไปต่อยอดใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้

โดยเรามีโอกาสได้ดูแลลูกค้าด้านสิทธิบัตรมาแล้วในหลากหลายสาขาเทคโนโลยี รวมถึงธุรกิจทั้งทุกขนาด โดยทีม IDG เรามีความตั้งใจในการส่งมอบงานสิทธิบัตรที่มีคุณภาพ เพื่อให้เกิดความครอบคลุม และสามารถต่อยอดสิทธิบัตรได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ขั้นตอนการยื่นจดสิทธิบัตร กับ IDG

ขั้นตอนที่ 1
การสืบค้นความเป็นไปได้ในการจดสิทธิบัตร
IDG จะนำข้อมูลงานของลูกค้ามาทำการสืบค้นจากฐานข้อมูลภายในและต่างประเทศก่อน เพื่อตรวจสอบความเป็นไปได้ของประเภทสิทธิบัตรที่จะยื่นจด ซึ่งเราจะรวบรวมข้อมูล และ จัดทำเป็นรายงานการสืบค้นให้กับลูกค้า เพื่อประกอบการตัดสินใจสำหรับขั้นตอนถัดไป
ขั้นตอนที่ 1
ขั้นตอนที่ 2
การจัดเตรียมคำขอรับสิทธิบัตรและยื่นจดทะเบียน
IDG จะทำหน้าที่รับผิดชอบให้กับลูกค้าในเรื่องของการร่างคำขอรับสิทธิบัตรให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด > พร้อมจัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้อง > และยื่นต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา โดยการเตรียมเอกสารของแต่ละประเภทสิทธิบัตรจะขึ้นอยู่กับประเภทสิทธิบัตร โดยเจ้าหน้าที่ของ IDG จะดูแลทุกขั้นตอน ผ่านการประสานงานกับท่านตลอดเวลา
ขั้นตอนที่ 2
ขั้นตอนที่ 3
การประกาศโฆษณา และ รับจดทะเบียน
ในส่วนของขั้นตอนสุดท้าย หลังจากที่เราได้ยื่นเอกสารไปที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางกรมฯ จะดำเนินการตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตร และหากเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด จะทำการประกาศโฆษณา ซึ่งผู้ขอหรือตัวแทนของผู้ขอจะต้องไปยื่นเอกสารและชำระค่าธรรมเนียม จากนั้นคำขอรับสิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตรจะได้รับการประกาศโฆษณาเป็นเวลา 90 วัน ซึ่งในระยะเวลานี้อาจมีผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียมาคัดค้านงานของเรา และหากงานของเรามีการถูกคัดค้าน เราสามารถส่งคำชี้แจ้งให้ทางกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้
ขั้นตอนที่ 3

ขั้นตอนการประกาศโฆษณานี้จะมีความแตกต่างของรายละเอียดสำหรับสิทธิบัตรแต่ละประเภท ดังนี้

สิทธิบัตรการประดิษฐ์

สิทธิบัตรการประดิษฐ์ ทางกรมทรัพย์สินทางปัญญาจะแจ้งให้ผู้ขอหรือตัวแทนของผู้ขอมาชำระค่าธรรมเนียมเพื่อประกาศโฆษณา ซึ่งต้องชำระภายใน 60 วันหลังจากได้รับแจ้ง จากนั้นทางกรมฯ จะทำการประกาศโฆษณาเป็นเวลา 90 วัน และหากไม่มีการถูกคัดค้าน ผู้ขอหรือตัวแทนต้องยื่นขอให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาตรวจสอบการประดิษฐ์ภายใน 5 ปี นับแต่วันประกาศโฆษณา หากผ่านขั้นตอนการตรวจสอบการประดิษฐ์ จะได้รับการจดทะเบียนสิทธิบัตรการประดิษฐ์

อนุสิทธิบัตร ทางกรมทรัพย์สินทางปัญญาจะแจ้งให้ผู้ขอหรือตัวแทนของผู้ขอมาชำระค่าธรรมเนียมเพื่อประกาศโฆษณาและรับจดอนุสิทธิบัตร ซึ่งต้องชำระภายใน 60 วันหลังจากได้รับแจ้ง หลังจากนั้นจะได้รับการประกาศโฆษณาและรับจดอนุสิทธิบัตรไปพร้อมกัน ซึ่งอนุสิทธิบัตรอาจมีการยื่นให้ตรวจสอบการประดิษฐ์โดยผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียได้ แต่ต้องยื่นเรื่องภายใน 1 ปีหลังได้รับการจดทะเบียน

สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ ทางกรมทรัพย์สินทางปัญญาจะทำการประกาศโฆษณาหลังจากผู้ขอหรือตัวแทนของผู้ขอมาชำระค่าธรรมเนียม จากนั้น หากไม่มีผู้คัดค้าน จะทำการตรวจสอบแบบผลิตภัณฑ์เพื่อพิจารณาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ (ระยะเวลาที่สามารถคัดค้านได้ คือ 90 วัน) ก่อนจะรับจดสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ โดยเราไม่จำเป็นต้องยื่นขอให้ตรวจสอบเหมือนกับสิทธิบัตรการประดิษฐ์

ทำไมต้องมีการจดสิทธิบัตร

ทำไมต้องมีการจดสิทธิบัตร และอนุสิทธิบัตร ?

    การจดสิทธิบัตรจะช่วยยืนยันได้ว่าใครเป็นผู้คิดค้นไอเดียนั้น ๆ ขึ้นมา อีกทั้งยังสามารถสร้างหรือเพิ่มมูลค่าให้กับสิ่งประดิษฐ์ของเราเพื่อต่อยอดไปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ได้ในอนาคต  และโอกาสในการขายสิทธิ หรือถ่ายทอดเทคโนโลยีในอนาคตอีกด้วย

ข้อดีของการจดสิทธิบัตรไม่ได้มีเพียงแค่การปกป้องคุ้มครองสิ่งประดิษฐ์ และการออกแบบผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่หากยังสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า และบริการได้เป็นอย่างดี นอกเหนือจากการจดสิทธิบัตรสำหรับสิ่งประดิษฐ์แล้ว ยังมีการจดสิทธิบัตรสำหรับกระบวนการผลิตสินค้า การจดสิทธิบัตรสำหรับการออกแบบสินค้า การจดสิทธิบัตรสำหรับสูตรการผลิต 

ในเมื่อจดเองได้ ทำไมต้องจ้างที่ปรึกษาด้านสิทธิบัตร และอนุสิทธิบัตร?

การจดสิทธิบัตรเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน การมีตัวแทนหรือผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพในการดูแลการจดสิทธิบัตรจะช่วยให้กระบวนการนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและเพิ่มโอกาสในการได้รับสิทธิบัตรที่คุ้มค่า

1. ความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย การจดสิทธิบัตรอย่างที่เราได้เขียนไป แม้อาจมีรายละเอียดขั้นตอนที่ไม่ได้ซับซ้อนมาก แต่ระหว่างขั้นตอนยังคงมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญสามารถแนะนำได้ รวมถึงการจัดเตรียมเอกสาร

2. การตรวจสอบและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิบัตรของ IDG สามารถทำการค้นหาและวิเคราะห์สิทธิบัตรที่มีอยู่แล้ว เพื่อประเมินความเป็นไปได้ในการจดสิทธิบัตร  นอกจากนี้ยังสามารถช่วยในการระบุและหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

3. การเขียนและการจัดเตรียมเอกสาร การเขียนหรือร่างคำขอสิทธิบัตร ถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของการจดสิทธิบัตร จำเป็นต้องมีความละเอียดและชัดเจน เพื่อให้คำขอครอบคลุมและปกป้องการประดิษฐ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เชี่ยวชาญของ IDG มีทักษะในการเขียนร่างและจัดเตรียมเอกสารที่จำเป็น เช่น คำอธิบาย ข้อถือสิทธิ์ และภาพวาดที่ชัดเจนได้อย่างครบถ้วน

4. การประหยัดเวลาและทรัพยากร การใช้บริการของผู้เชี่ยวชาญช่วยให้ผู้ประดิษฐ์สามารถมุ่งเน้นที่การพัฒนานวัตกรรมและธุรกิจของตนเอง โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับกระบวนการทางกฎหมายและเอกสารที่ซับซ้อน

5. การแนะนำแนวทางใช้ประโยชน์ เราไม่เพียงแต่มุ่งมั่นให้สิทธิบัตรได้รับความคุ้มครองเท่านั้น เรายังให้ความสำคัญในการนำสิทธิบัตรไปต่อยอด หรือให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดังนั้นเราจึงสามารถช่วยวางกลยุทธ์ หรือแนะนำแนวทางในการต่อยอดสิทธิบัตร ซึ่งผู้ยื่นจดทะเบียน และ ผู้ให้บริการสิทธิบัตรรายอื่น ๆ อาจมองข้ามไป

การจดสิทธิบัตร อนุสิทธิบัตร สิทธิบัตรออกแบบ ช่วยเพิ่มมูลค่าของสินค้าได้

การจดสิทธิบัตรสามารถเพิ่มมูลค่าให้สินค้าและบริการในหลายมิติ นอกเหนือจากการป้องการการลอกเลียนแบบแล้ว ยังมีผลต่อการแข่งขันในตลาด ดังนี้

  • เสริมความน่าเชื่อถือ (Credibility Enhancement) สิทธิบัตรจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในตลาด ลูกค้าหรือพาร์ทเนอร์สามารถมั่นใจได้มากขึ้นในผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการที่มีสิทธิบัตรคุ้มครอง
  • สร้างมูลค่าทางธุรกิจ (Business Value Creation) สิทธิบัตรจะสร้างมูลค่าทางธุรกิจ หากต้องมีการขายสิทธิหรือให้เช่าสิทธิในอนาคต
  • ส่งเสริมการลงทุน (Attracting Investment) ซึ่งแน่นอนสิทธิบัตรจะเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนได้ โดยเฉพาะกับกลุ่มธุรกิจที่ต้องใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม

ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร ต่างกันอย่างไร ?

    อันดับแรกก็ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าลิขสิทธิ์เป็นกฎหมายที่มีไว้คุ้มครองงานสร้างสรรค์ที่มีลักษณะเป็นงานศิลปกรรม วรรณกรรม งานถ่ายภาพ งานแพร่ภาพกระจายเสียง หรืองานทางด้านศิลปะอื่น ๆ 9 ประเภท ซึ่งมีระบุไว้ในพรบ.ลิขสิทธิ์  ส่วนสิทธิบัตรนั้นมีไว้เพื่อคุ้มครองงานประดิษฐ์ งานออกแบบผลิตภัณฑ์ หรืองานวิจัย ซึ่งจะต้องมีประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และสามารถผลิตได้ในระบบอุตสาหกรรมด้วย  (อ่านโดยละเอียดได้ ที่นี่ ) 

ทำไมต้องจดสิทธิบัตรในต่างประเทศ ?

   อย่างที่ทุกท่านพอจะทราบกันดี ในปัจจุบันนั้นการค้าและการลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ นั้น ไม่ได้ถูกจำกัดแค่ในประเทศไทยอีกต่อไป การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีในการสื่อสารสมัยใหม่ได้ทำการลดความสำคัญของเขตแดนระหว่างประเทศต่าง ๆ ให้สามารถติดต่อค้าขายกันได้ง่ายมากยิ่งขึ้น โลกของเราจึงได้เข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalization) อย่างสมบูรณ์ โดยภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว นอกจากทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายที่ได้ง่ายขึ้นของสินค้าและการลงทุนแล้ว ยังส่งผลให้เกิดการสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมใหม่ ๆ ในประเทศต่าง ๆ ทั่วทุกมุมโลก

  อย่างไรก็ดี ในการคิดค้นเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมานั้น ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าจำเป็นที่จะต้องใช้เงินทุนในการค้นคว้าและวิจัยจำนวนมหาศาล การที่จะมีผู้อื่นมาแสวงหาผลประโยชน์จากสิ่งประดิษฐ์ของเรานั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ ดังนั้น เจ้าของสิ่งประดิษฐ์จำนวนมากจึงเลือกที่จะทำการจดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ของตนเองเพื่อขอรับความคุ้มครองทางกฎหมาย รวมถึงสามารถบริหารในการใช้ประโยชน์จากการประดิษฐ์ของตนในวิธีการอื่น ๆ เช่น โอน, ขาย หรือให้เช่ากรรมสิทธิอย่างถูกต้องอีกด้วย

   ในกรณีต้องการใช้ประโยชน์จากสิ่งประดิษฐ์ของตนเองในหลาย ๆ ประเทศ โดยปกติแล้วจะไม่มีการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างประเทศ เจ้าของสิ่งประดิษฐ์จึงจำเป็นที่ต้องจดสิทธิบัตรของตัวเองในสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาแต่ละประเทศ เพื่อขอรับความคุ้มครองในประเทศนั้น ๆ เพราะฉะนั้นแล้ว การยื่นจดสิทธิบัตรงานประดิษฐ์ของตนเองไปยังต่างประเทศจึงเป็นขั้นตอนถือว่ามีความสำคัญอย่างมากในการนำเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมของตนเองไปแข่งขันในเวทีโลก  (อ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่ )



ทรัพย์สินทางปัญญา กับการทำธุรกิจ!
ทำความเข้าใจใน 40 นาที โดย คุณกาย วีระเวช อรธนาลัย
  • กฎระเบียบและขั้นตอนในการยื่นจดสิทธิบัตร สามารถหาได้จากส่วนสิทธิบัตรของเว็บกรมทรัพย์สินทางปัญญา
  • สำหรับการยื่นจดสิทธิบัตรการประดิษฐ์หรืออนุสิทธิบัตรในต่างประเทศ โปรดยื่นจดผ่านระบบ Patent Cooperation Treaty (PCT) หรือติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพย์สินทางปัญญาหรือสำนักสิทธิบัตรในแต่ละประเทศโดยตรง คนที่มีสัญชาติไทยหรือคนต่างชาติที่อยู่ในกลุ่มภาคีสมาชิกของ PCT สามารถยื่นจดสิทธิบัตร (เป็นภาษาอังกฤษ) กับกลุ่ม PCT ชั้น 6 กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการยื่นจดสิทธิบัตรผ่านระบบ PCT หาได้จาก http://www.wipo.int/pct/en/ และเว็บไซต์ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา
  • สำหรับการยื่นจดสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ในต่างประเทศ โปรดติดต่อผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศได้โดยตรง
  • ณ ปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่เป็นหนึ่งในสมาชิกของ Hague System ซึ่งเป็นระบบที่อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ยื่นในการยื่นจดสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ในหลายๆ ประเทศ ท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการยื่นจดการออกแบบผลิตภัณฑ์ได้ทาง: http://www.wipo.int/hague/en/
  • ภาพประกอบสิทธิบัตรการออกแบบ Developing trends in design patent enforcement,15 Famous Patents That Changed the World 
  • ทรัพย์สินทางปัญญา เข้าใจง่าย

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญสิทธิบัตร IDG

ติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญ