
มาทำความรู้จักกับ พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ จากผลงานวิจัยและนวัตกรรม (TRIUP Act)
งานวิจัยไม่ควรถูกเก็บไว้ขึ้นหิ้ง!อีกต่อไป พระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2564 (หรือ TRIUP Act ซึ่งย่อมาจาก Thailand Research and Innovation Utilization Promotion Act) คือ กฎหมายใหม่ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อผลักดันให้งานวิจัยไทยถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง โดยมีแนวคิดมาจาก Bayh-Dole Act ของสหรัฐอเมริกาที่ใช้มาราว 40 ปี เป้าหมายหลักคือ “ปลดล็อก” ให้ผู้รับทุนวิจัยจากรัฐ (เช่น นักวิจัย มหาวิทยาลัย หรือหน่วยงานเอกชน) ได้สิทธิความเป็นเจ้าของในผลงานวิจัยของตนเอง เพื่อให้สามารถต่อยอดโดยนำไปใช้เชิงพาณิชย์หรือสาธารณประโยชน์ได้ง่ายยิ่งขึ้น
ประโยชน์สำคัญของ TRIUP Act
- นักวิจัย/มหาวิทยาลัยได้เป็นเจ้าของในผลงานตนเอง: กฎหมายนี้แก้ปัญหาเดิมที่ผู้รับทุนไม่สามารถเป็นเจ้าของผลงานวิจัยได้ ตอนนี้ไม่ว่าผู้รับทุนจะเป็นมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย บริษัท หรือตัวนักวิจัยเอง ก็สามารถถือครองสิทธิในผลงานวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐได้โดยตรง ซึ่งสร้างแรงจูงใจให้นักวิจัยคิด
ค้นผลงานวิจัยมากยิ่งขึ้นและสามารถนำไปใช้ได้จริง - ถ่ายทอดเทคโนโลยีคล่องตัวขึ้น: เมื่อผู้วิจัยถือครองสิทธิความเป็นเจ้าของในผลงานเอง การถ่ายทอดเทคโนโลยีหรืองานวิจัยสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ภาคเอกชนหรือผู้ประกอบการที่ต้องการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยสามารถเจรจาขออนุญาตใช้ผลงานได้โดยตรง ส่งผลให้งานวิจัยถูกนำไปใช้เชิงพาณิชย์และสาธารณะประโยชน์ได้มากขึ้น
- ส่งเสริมการเกิดสตาร์ทอัพ (Startup) และ Spin-off: กฎหมายเอื้อให้เกิดบริษัทหรือสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยมากขึ้น เพราะนักวิจัยสามารถนำผลงานตนไปพัฒนาธุรกิจได้เต็มที่ เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคเอกชนอย่างคล่องตัว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมหาวิทยาลัยเป็นเจ้าของผลงานวิจัยเอง ก็พร้อมจะร่วมลงทุนหรือจัดตั้งบริษัท spin-off ที่มีนักวิจัยเข้าร่วมได้ง่ายขึ้น
- ยกระดับคุณภาพงานวิจัยตอบโจทย์อุตสาหกรรม: การได้รับสิทธิความเป็นเจ้าของในผลงานวิจัยที่สร้างขึ้นเอง ช่วยสร้างแรงจูงใจให้นักวิจัยและมหาวิทยาลัยมุ่งผลิตงานที่ตอบสนองความต้องการของตลาดและภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น งานวิจัยจะไม่หยุดอยู่ที่การตีพิมพ์เชิงวิชาการ แต่จะถูกนำไปพัฒนาจนใช้ประโยชน์ได้จริง ส่งผลให้ระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศพัฒนามากขึ้น
- สร้างเศรษฐกิจยุคใหม่ด้วยธรุกิจนวัตกรรม: เมื่อผลงานวิจัยถูกนำไปต่อยอดเกิดเป็นสินค้าและบริการมูลค่าสูง จะมีการก่อตั้งธุรกิจนวัตกรรมใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น เกิดการจ้างงานและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ รายได้จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมจะหมุนเวียนกลับสู่ระบบ (เช่น ผ่านภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ) ช่วยพิสูจน์ว่าการให้ทุนวิจัยของรัฐแก่ผู้รับทุนไม่สูญเปล่า แต่สร้างผลตอบแทนแก่ประเทศและประชาชน และประเทศไทยจะก้าวสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมอย่างยั่งยืน
การเตรียมตัวสำหรับมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยในฐานะผู้รับทุนแม้กฎหมายนี้จะเปิดทางไว้แล้ว แต่การทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติต้องอาศัยความร่วมมือจากมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และตัวนักวิจัยเอง โดยสามารถปรับเปลี่ยนได้ ดังนี้
- ปรับนโยบายและระบบบริหารผลงานวิจัย: ในฐานะผู้รับทุน ควรปรับปรุงนโยบายให้สอดคล้องกับ TRIUP Act เช่น กำหนดแนวทางการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างมหาวิทยาลัยกับนักวิจัยอย่างเป็นธรรมตามที่กฎหมายกำหนด และจัดตั้ง/เสริมประสิทธภาพให้ สำนักงานถ่ายทอดเทคโนโลยี (TTO) เพื่อบริหารจัดการผลงานวิจัยและความเป็นเจ้าของ
- สร้างวัฒนธรรม Startup ในรั้วมหาวิทยาลัย: สถาบันควรส่งเสริมให้นักวิจัยและอาจารย์ก้าวสู่วงการผู้ประกอบการ (academic entrepreneurship) มากขึ้น ไม่ว่าจะผ่านการจัดตั้ง spin-off บริษัท Startup โดยใช้ผลงานวิจัยของตนเอง หรือการทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการนำผลงานวิจัยไปผลิตเชิงพาณิชย์ ควรมีโครงการบ่มเพาะธุรกิจ (incubator) และให้ทุนสนับสนุนสำหรับทีมวิจัยที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจนวัตกรรม
- อบรมบุคลากรด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี: สถาบันควรพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้าน
การบริหารจัดการนวัตกรรมและการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อช่วยเชื่อมงานวิจัยกับความต้องการของอุตสาหกรรมได้รวดเร็ว - วางแผนการใช้ประโยชน์ผลงานแต่เนิ่น ๆ: สำหรับนักวิจัยที่ได้รับทุนรัฐ ควรเริ่มวางแผนตั้งแต่ต้นว่าจะนำ
ผลงานไปใช้ต่อยอดอย่างไร ซึ่งช่วยให้สามารถผลิตผลงานวิจัยที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง โดยหลังผลงานวิจัยเสร็จสิ้น ให้รีบดำเนินการตามข้อกำหนดของ TRIUP Act โดยครอบคลุมการรายงานข้อค้นพบใหม่ การเปิดเผยผลงานแก่หน่วยงานให้ทุน และการยื่นขอสิทธิความเป็นเจ้าของควบคู่กับแผนการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ ทั้งนี้ ตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด อย่าลืมว่าหลังได้รับสิทธิแล้วจะต้องนำผลงานไปใช้ประโยชน์ภายใน 2 ปี มิฉะนั้นหน่วยงานให้ทุนสามารถทวงสิทธิคืนได้ ดังนั้นเมื่อได้รับสิทธิความเป็นเจ้าของ ควรผลักดันผลงานออกสู่ตลาดหรือสู่ชุมชนภายในกรอบเวลาที่กำหนดเพื่อไม่ให้โอกาสหลุดลอยไป
พ.ร.บ. TRIUP Act เป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนโฉมวงการวิจัยไทย จากที่เคยมีข้อจำกัดให้งานวิจัยต้องจบอยู่แค่รายงานหรือขึ้นหิ้ง กลายเป็นเปิดโอกาสให้นักวิจัย “ถือครองผลงานตัวเอง” และผลักดันต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ได้จริง นักวิจัย นวัตกร และอาจารย์มหาวิทยาลัยควรทำความเข้าใจกฎหมายฉบับนี้ให้ถ่องแท้ และใช้ประโยชน์จากสิทธิที่ได้มาในการสร้างนวัตกรรม เปลี่ยนความรู้ให้กลายเป็นธุรกิจและประโยชน์แก่สังคม อย่างเต็มที่ต่อไป
ในบทความต่อไป เราจะพาทุกท่านทำความเข้าใจเชิงลึกถึงขั้นตอนและกระบวนการขอความเป็นเจ้าของในผลงานวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐ ภายใต้ TRIUP Act เพื่อให้ทุกท่านมีความรู้ความเข้าใจและสามารถเตรียมพร้อมได้
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
อีเมล: [email protected]
โทร.: 02-011-7161 ถึง 6
Line: @idgthailand
Facebook: IDGThailand