ประเทศไทยใช้หลักเกณฑ์ดังนี้
- หลักถิ่นที่อยู่สำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประมวลรัษฎากร (มาตรา 41 วรรค 2,3)
– หน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศ
– กิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือ ทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ
– ต้องเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ถึง 180 วัน ในปีภาษีนั้น และนำเงินได้นั้น เข้ามาในไทยในปีภาษีที่เกิดเงินได้ ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย
- หลักแหล่งเงินได้ตามประมวลรัษฎากร (มาตรา 41 วรรค 1)
– หน้าที่งานที่ทำในประเทศไทย
– กิจการที่ทำในประเทศไทย
– กิจการของนายจ้างในประเทศไทย
– ทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย
โดยมีหลักการดูอนุสัญญาภาษีซ้อนดังนี้
1.ดูถิ่นที่อยู่ว่าใกล้ชิดกับแหล่งเงินได้มากกว่ากัน ถ้าฝ่ายไหนใกล้ชิดกว่าอีกฝ่ายต้องยอมถอย
2.ประเทศถิ่นที่อยู่ 99% จะเป็นผู้รับเงิน และประเทศแหล่งเงินได้ 99% จะเป็นผู้จ่ายเงิน
3.ดูประเภทของเงินได้ เงินได้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
– เงินได้จากการทำธุรกิจ (Active Income or Business Profits) มีเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1,2,5,6,7,8
– เงินได้ส่วนทุน (Passive Income) มีเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 3,4
ถ้าเป็นเงินได้จากการทำธุรกิจ (Active Income or Business Profits) ให้ดูความใกล้ชิดกับแหล่งเงินได้ว่าใครใกล้ชิดมากกว่ากัน มีอำนาจจัดเก็บภาษี ส่วนเงินได้ส่วนทุน (Passive Income) ทั้งสองประเทศมีอำนาจจัดเก็บภาษี
ตัวอย่าง
นายบีเป็นชาวต่างชาติ เข้ามาทำงานในไทยตั้งแต่ 1 ม.ค.63-30 เม.ย.63ได้รับเงินเดือน เดือนละ 20,000 บาท ได้กลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านเกิด แล้วกลับมาทำงานที่ไทยต่อตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.63- ก.ย.63 จากนั้นได้ไปทำงานที่สิงคโปร์อีก 2 เดือนได้เงินมา 200,000 บาท และนำเงินกลับมาพร้อมกัน ดังนั้นนายบีต้องนำเงินจำนวน 200,000 บาท มาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในไทยหรือไม่
คำตอบ
นายบี อยู่ในไทยถึง 180 วัน จึงเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยตามมาตรา 41 วรรค 2,3 เมื่อนำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย จึงจะต้องเสียภาษีเงินได้สำหรับเงินที่ได้รับจากต่างประเทศและนำเงินนั้นกลับมาไทยในปีภาษีเดียวกัน