ณ ช่วงวินาทีเศรษฐกิจแบบนี้หลายบริษัทเริ่มสนใจในเรื่องของธุรกิจนำเข้ากันมากขึ้น เพราะสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่ธุรกิจนำเข้านั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายๆ ยิ่งทำเป็นธุรกิจใหญ่รายละเอียดปลีกย่อยยิ่งเยอะและประเด็นสำคัญในการนำเข้าคือเรื่อง ภาษีและอากร
ภาษี (Tax)
การนำสินค้าเข้ามาในประเทศ จะต้องมีการเสียภาษี ภาษีจะเรียกเก็บในอัตราเดียวกันทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสินค้าชนิดใดก็ตาม แต่ก็จะมีการยกเว้นในบางกรณี เฉพาะบางประเทศ
อากร Duty
เป็นสิ่งที่รัฐบาลจะบังคับจัดเก็บจากประชาชนโดยจะเรียกเก็บตามส่วนของมูลค่าสินค้า และส่วนของปริมาณสินค้า ขึ้นอยู่กับว่าประเทศปลายทางมีกฎหมายในการเก็บภาษีอย่างไร เพราะแต่ละประเทศก็จะมีการเรียกอากรที่แตกต่างกันไป
ภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริษัทฯ ผู้ประกอบการจดทะเบียนและเป็นผู้นำเข้าได้เสียไป เมื่อตอนนำเข้าถือเป็นภาษีซื้อตามมาตรา 77/1(18)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ มีสิทธินำภาษีซื้อดังกล่าวไปหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ใบเสร็จรับเงินที่กรมศุลกากรออกให้ในการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อตอนนำเข้าให้ถือเป็นใบกำกับภาษี ตามมาตรา 86/14 แห่งประมวลรัษฎากร
ในการนำเข้า การคำนวณภาษีขาเข้าเป็นเรืองที่ผู้นำเข้าไม่ว่าจะรายเล็กหรือใหญ่ต้องทราบและคิดให้เป็น
และต้องไม่ลืมที่จะนำค่าภาษีไปบวกในต้นทุนเพื่อกำหนดราคาขายด้วย
โดยกรมศุลกากรมีวิธีการคิดภาษีนำเข้าโดยใช้ราคา CIF (Cost Insurance and Freight)
CIF คืออะไร
C คือ Cost หมายถึง ต้นทุน สามารถดูได้ในใบ Commercial Invoice หรือ ใบ PO
I คือ Insurance หมายถึง ประกันภัย เราจะใช้ยอดทำประกัน ซึ่งมีสองทางเลือก
1. ประกันเพื่อออกของ คิด1% จาก Cost (เคลมไม่ได้)
2. ประกันเพื่อเคลมได้ (คือซื้อประกันกับบริษัทประกันจริงๆ)
แนะนำให้เลือกแบบ 2 ค่ะ เพราะยอดจ่ายอาจถูกกว่าหรือเท่ากับ1 แต่เคลมประกันได้เมื่อสินค้าเกิดความเสียหาย
F คือ Freight คือค่าขนส่งเราจะรู้ได้ไงว่าค่า Freight เท่าไหร่ ก็สอบถามจากบริษัท Freight Forwarder ได้ค่ะ
เมื่อทราบความหมายของ CIF แล้วว่ามีอะไรบ้างแล้วเราก็ไปคำนวณภาษีกันเลยค่ะ
สูตรการคำนวณ
1.ค่าสินค้า + ประกันภัย + ค่าขนส่งระหว่างประเทศ = CIF
2.ราคา CIF x อัตราภาษีขาเข้า (%) = อากรขาเข้า (อัตราภาษีขาเข้า 5%, 10%, 20% หรือ 30% ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้านั้นๆ)
3.ราคา CIF + อากรขาเข้า x อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% = ภาษีมูลค่าเพิ่ม
4.อากรขาเข้า + ภาษีมูลค่าเพิ่ม = มูลค่ารวมภาษีขาเข้าที่ต้องชำระ
ตัวอย่างการคำนวณ
1.มูลค่าของสินค้าที่นำเข้ามา 100,000.00 บาท
2.ค่าประกัน 1,000.00 (1%) *ในกรณีที่ไม่ได้ทำประกันภัย
3.ค่าขนส่งระหว่างประเทศ 10,000.00
4.10% อัตราภาษีนำเข้า
1.ราคา CIF : ค่าสินค้า + ประกัน + ค่าขนส่งระหว่างประเทศ = ราคา CIF
100,000.00 + 1,000.00 + 10,000.00 = 111,000.00
2.ค่าภาษี : ราคา CIF x อัตราภาษีขาเข้า = ภาษี
111,000.00 x 10% = 11,100.00
3.ภาษีมูลค่าเพิ่ม: ภาษี + ราคา CIF x อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม = ภาษีมูลค่าเพิ่ม
11,100.00 + 111,000.00 x 7% = 8,547,00
4.รวมภาษีที่ต้องชำระ: ภาษี + ภาษีมูลค่าเพิ่ม = ค่าภาษีทั้งหมดที่ต้องชำระ
11,100.00+ 8,547.00 = 19,647.00
นี่คือยอดภาษีขาเข้าเข้าแบบคร่าวๆ แต่ผู้ประกอบการก็สามารถนำไปคิดคำนวณวางแผนกำหนดราคาขายได้ และก็อย่าลืมบวกประมาณการค่าขนส่ง ค่าเคลียร์สินค้า เข้าไปด้วยเพื่อจะได้ไม่ขาดทุนกันนะคะ
ข้อควรทราบ
*ราคามูลค่าสินค้าขั่นต่ำที่ต้องเสียภาษีนำเข้าขึ้นอยู่กับข้อกำหนดทางกฏหมายของแต่ละประเทศ
**ค่าภาษีสำหรับใช้เพื่อชำระค่าภาษีนำเข้ากับกรมศุลกากรให้ดูจากใบขนสินค้าขาเข้าตัวจริง
***HS Code (Harmonized System) คือ ระบบจำแนกประเภท และระบุชนิดด้วยรหัสเลข 6 หลัก เป็นมาตรฐานสากลที่องค์การศุลกากรโลก (WEC) จัดทำขึ้นเพื่อจัดจำแนกและระบุสินค้าที่มีการซื้อขายได้อย่างถูกต้อง หรือเรียกว่า ‘พิกัดศุลกากร’ ดาวน์โหลดพิกัดศุลกากรได้ที่ www.customs.go.th