
ในยุคที่การทำงานอิสระหรือ “ฟรีแลนซ์” กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว สิ่งหนึ่งที่หลายคนมักมองข้าม(หรือกังวล) ก็คือ “เรื่องภาษี” ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว หากรู้วิธีจัดการตั้งแต่ต้นปี การยื่นภาษีสำหรับฟรีแลนซ์ในยุคนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป
อาชีพฟรีแลนซ์ (Freelance) คือ การทำงานอิสระที่บุคคลรับงานจากหลายแหล่งหรือหลายลูกค้า โดยไม่ได้เป็นพนักงานประจำขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง และมักจะไม่มีนายจ้างประจำ
ฟรีแลนซ์ต้องยื่นภาษีอย่างไร?
รายได้จากงานฟรีแลนซ์ ถือเป็น เงินได้ตามมาตรา 40 (2) ของประมวลรัษฎากร ซึ่งหมายถึง
“เงินที่ได้จากการรับทำงานให้ ไม่ว่าจะเป็นงานประจำหรือชั่วคราว เช่น ค่าจ้าง ค่านายหน้า ค่าส่วนลด โบนัส เบี้ยประชุม ฯลฯ”
โดยฟรีแลนซ์จะต้องยื่นภาษี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แบบ ภ.ง.ด. 90 ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป
ประเภทภาษีที่ฟรีแลนซ์จะต้องเสีย
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
2.ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)
- อัตรา 3% สำหรับค่าบริการส่วนใหญ่
- อัตรา 5% สำหรับค่าบริการบางประเภท
- อัตรา 1% สำหรับค่าขนส่ง/ค่าโฆษณา
ผู้จ่ายเงินจะหักภาษีนี้ก่อนจ่ายเงินให้ฟรีแลนซ์ โดยภาษีส่วนนี้สามารถขอคืนเงินภาษีได้เมื่อยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อัตรา 7% ของมูลค่าสินค้า/บริการ บังคับจดทะเบียน เมื่อรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
ขั้นตอนการจัดการภาษีสำหรับฟรีแลนซ์
- รวบรวมรายได้พึงประเมิน
หลักฐานสำคัญคือ หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (แบบ ทวิ 50)
โดยผู้ว่าจ้างจะออกให้ในกรณีที่ค่าจ้างเกิน 1,000 บาท เก็บเอกสารทวิ 50 ให้ครบทุกงาน และรวมยอดทั้งหมดเป็น “รายได้ทั้งปี” - หักค่าใช้จ่ายให้ถูกต้อง
ฟรีแลนซ์สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้แบบเหมาจ่าย คือ หักได้ 50% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
ตัวอย่าง :รายได้ทั้งปี 240,000 บาท → หักได้ 50% = 120,000 บาท (ตามกฎหมายหักได้สูงสุด 100,000 บาทเท่านั้น) - วางแผนลดหย่อนภาษี
การลดหย่อนช่วยลดภาระภาษีได้มาก หากรู้จักใช้สิทธิ์อย่างเหมาะสม โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
- ลดหย่อนคู่สมรส กรณีคู่สมรสไม่มีรายได้ 60,000 บาท
- ลดหย่อนบุตร คนละ 30,000 – 60,000 บาท
- ต้องเป็นบุตรตามกฎหมายหรือบุตรบุญธรรม และบุตรมีอายุไม่เกิน 20 ปี หรืออายุ 20 – 25 ปี แต่กำลังศึกษาอยู่
- กรณีที่บุตรอายุเกิน 25 ปี แต่มีสถานะเป็นบุคคลไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ สามารถลดหย่อนภาษีได้
- กรณีบุตรคนที่ 2 ขึ้นไป เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป สามารถลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท
- กรณีมีเฉพาะบุตรตามกฎหมาย ลดหย่อนบุตรกี่คนก็ได้ตามจำนวนบุตรจริง
- กรณีมีเฉพาะบุตรบุญธรรม ลดหย่อนภาษีบุตรได้คนละ 30,000 บาท สูงสุด 3 คน
- กรณีมีทั้งบุตรตามกฎหมายและบุตรบุญธรรม ใช้สิทธิบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายก่อน และถ้าบุตรบุญธรรมเป็นคนที่ 4 จะไม่สามารถใช้สิทธิได้ แต่ถ้าบุตรบุญธรรมอยู่ในคนที่ 1-3 สามารถใช้สิทธิบุตรบุญธรรมได้
- ลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตร ไม่เกิน 60,000 บาท
- ลดหย่อนเลี้ยงดูบิดามารดาลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท ต้องมีอายุมากกว่า 60 ปี และมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30,000 บาท ลดหย่อนได้ทั้งพ่อแม่ของตนเองและพ่อแม่ของคู่สมรส
- ลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์
- ของตนเอง ลดหย่อนรวมทุกกรมธรรม์แล้วไม่เกิน 100,000 บาท
- ของคู่สมรสกรณีไม่มีรายได้ ลดหย่อนรวมทุกกรมธรรม์แล้วไม่เกิน 10,000 บาท
- ลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท
- ลดหย่อนเบี้ยประกันสุขภาพของ
- ตนเอง ลดหย่อนได้ไม่เกิน 25,000 บาท เมื่อรวมกับประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์ ต้องไม่เกิน 100,000 บาท
- ของพ่อแม่ ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี ลดหย่อนได้ไม่เกิน 15,000 บาท
- ลดหย่อนเงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ได้ 15% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ
- ลดหย่อนเงินสะสมกองทุน RMF ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ
- ลดหย่อนเงินสะสมกองทุน SSF ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ
- ลดหย่อนเงินบริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษา การกีฬา การพัฒนาสังคม และสถานพยาบาลของรัฐ ลดหย่อนได้ 2 เท่า สูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าลดหย่อนภาษี
- ลดหย่อนเงินบริจาคทั่วไปได้ ไม่เกิน 10% ของเงินได้สุทธิ
- ลดหย่อนเงินบริจาคให้กับพรรคการเมือง สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท
*ที่สำคัญคือการใช้สิทธิลดหย่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลอาจมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเป็นครั้งคราว ซึ่งมักจะมาพร้อมกับสิทธิลดหย่อนภาษี เช่น โครงการช้อปดีมีคืน หรือโครงการอื่น ๆ ที่ส่งเสริมการใช้จ่าย ควรติดตามข่าวสารและใช้สิทธิ์เหล่านี้เมื่อมีโอกาส เพราะเป็นการลดหย่อนที่นอกเหนือจากรายการปกติ
สามารถยื่นภาษีได้หลายช่องทาง ดังต่อไปนี้
- ยื่นผ่านอินเทอร์เน็ต www.rd.go.th (E-filing)
- ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่/สาขา
- ยื่นผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ (RD Smart Tax Application)
อย่าลืม !!! การยื่นภาษีไม่ได้น่ากลัวเท่าการถูกตรวจสอบย้อนหลัง หากคุณจัดระบบตั้งแต่ต้นปี จะสามารถบริหารรายรับ-รายจ่าย และลดหย่อนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หาก freelancer ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือต้องการความช่วยเหลือในการจัดทำเอกสาร หรือการยื่นภาษีสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของ IDG ได้ค่ะ เรามีบริการด้านบัญชี-ภาษีที่ครอบคลุมทุกธุรกิจ พร้อมเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์กว่า 10 ปี สามารถปรึกษาข้อมูลเบื้องต้นได้ ฟรี!
ติดต่อทีมบัญชี :
โทร : 02-011-7161 ติดต่อ 900
E-mail : [email protected]
เปิดทำการวันจันทร์ – วันเสาร์
เวลา 09:00 – 18:00 น.