Balanced Scorecard
และการบริหาร Intangible Assets (IA) ข้ามสายงานให้มีประสิทธิภาพ
“A mere 7% of employees today fully understand their company’s strategies and what’s expected of them in order to help achieve company goals”– Robert S. Kaplan –
Professor Robert S. Kaplan แห่ง Harvard Business School ผู้คิดค้น Balanced Scorecard ร่วมกับ Dr. David P. Norton เคยกล่าวไว้ว่ามีพนักงานไม่กี่คนในองค์กรที่เข้าใจกลยุทธ์ขององค์กรที่ตนอยู่อย่างแท้จริง รวมถึงความคาดหวังจากผู้บริหารเพื่อไปสู่เป้าหมายสูงสุดขององค์กร ดังนั้น Balanced Scorecard (BSC) ตามรูปตัวอย่างด้านล่าง จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการปิดช่องว่างระหว่างกลยุทธ์องค์กรและการปฎิบัติงานของทุกคนในองค์กรเพื่อให้ไปในทิศทางเดียวกัน มีระบบการประเมินประสิทธิภาพการปฎิบัติงานที่ชัดเจนและมีความสมดุล โดยมองจาก 4 ปัจจัยหลักที่สำคัญต่อธุรกิจ ได้แก่ ด้านการเงิน, ด้านลูกค้า, ด้านกระบวนการภายใน และด้านการเรียนรู้และการพัฒนา โดยจุดประสงค์หลักของการใช้ BSC คือ เพื่อให้การทำงานของทุกๆ คนในทุกๆ ฝ่าย ไปในทิศทางที่ตอบโจทย์ความคาดหวัง วัตถุประสงค์ และเป้าหมายขององค์กรให้ได้มากที่สุด
ผมเรียนเรื่องการใช้ BSC เพื่อการบริหารทรัพย์สินทางปัญญาครั้งแรกจาก Prof. Tanaka อาจารย์ที่ปรึกษา ป.โท ของผมตอนเรียนอยู่ที่ Tokyo Tech และเชื่อว่าเครื่องมือการบริหารชนิดนี้ เหมาะสมกับการนำไปใช้ประโยชน์ในธุรกิจและองค์กรต่างๆ ที่ต้องการปรับเปลี่ยนตัวเองจากที่เคยขับเคลื่อนด้วยสินทรัพย์ทั่วไป (Tangible Assets Driven) เช่นทรัพยากรธรรมชาติ, ที่ดิน, เครื่องจักร, อุปกรณ์, วัตถุดิบ ฯลฯ ไปเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยมันสมอง หรือสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน (Intangible Assets/IA Driven) เช่น แบรนด์ โนว์ฮาวทางธุรกิจ, สิทธิบัตร, ดาต้า, โค้ต ฯลฯ และ การใช้ BSC จะช่วยทำให้ฝ่ายอื่นๆ ในองค์กร รวมถึงตัวผู้บริหารหันมาให้ความสนใจและมีส่วนร่วมกับการบริหาร IA มากขึ้น
ที่มา: https://www.linkedin.com
จากการที่ผู้บริหารส่วนใหญ่เคยมองกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ IA ว่า “ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับด้านการเงิน ไม่ช่วยทำให้ลูกค้าหรือผู้ถือหุ้นยอมรับสินค้าเรามากขึ้น มันเป็นเรื่องของฝ่ายกฎหมาย รวมถึงการมองเป็นเรื่องต้นทุนที่สูง ทั้งในเรื่องการสร้าง พัฒนา จดทะเบียน และค่าใช้จ่ายแฝงอีกเยอะแยะในการปกป้อง บังคับคดีด้านทรัพย์สินทางปัญญา” แต่เมื่อมีการวางวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับ IA ลงบน BSC ผมเชื่อว่าคุณจะสามารถให้มุมมองใหม่ๆ แก่ผู้บริหารและบุคคลากรอื่นๆ ที่กว้างขึ้น แตกต่างจากเดิม ดังตัวอย่างต่อไปนี้
1. มุมมองด้านการเงิน (Financial Aspect)
- ช่วยในการเพิ่มยอดขาย และผลกำไรให้บริษัทโดยการอนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิ และเก็บค่าสิทธิหรือ Royalty ในการใช้สิทธิบัตร โนว์ฮาว ฐานข้อมูล หรือแบรนด์ของเราได้
- ช่วยเพิ่มยอดขายโดยการปกป้องไม่ให้คู่แข่งสามารถเข้ามาแข่งขันในตลาดเดียวกับเราได้
- ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้วยการพัฒนาไอเดียในการจัดการธุรกิจ และเทคนิคต่างๆ
- เพิ่มเติมในผลการเงินของบริษัทโดยการสร้างและพัฒนาระบบบัญชีสินทรัพย์ไม่มีตัวตน
- การใช้ส่งผลต่อภาพรวมของธุรกิจในเชิงมูลค่าที่เพิ่มมากขึ้น
2. มุมมองด้านลูกค้า (Customer’s Aspect)
- ช่วยปกป้องลูกค้าจากการพิพาทเรื่องกฎหมาย เช่น การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
- ส่งเสริมลูกค้าบางรายในการขยายส่วนแบ่งตลาด
- เพิ่มผลกำไรให้ลูกค้าด้วยการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ
- เพิ่มความสามารถด้านกลยุทธ์การขาย และการตรวจสอบจัดซื้อสินค้า
- โปรโมทการขายให้คู่ค้า และส่งถึงผู้บริโภค
- เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าและบริการ
- สร้างนโยบายด้านการสร้างแบรนด์และคุ้มครองเครื่องหมายการค้า
3. มุมมองด้านกระบวนการภายใน (Business Process Aspect)
- พัฒนากระบวนการภายในธุรกิจด้วยทรัพย์สินทางปัญญา
- เปลี่ยนหรือเริ่มกระบวนการปฎิบัติงานใหม่ด้วยสิทธิบัตรที่คุ้มครองรูปแบบธุรกิจ
- ปรับปรุง ทำกระบวนการจัดการให้ทันสมัยจากการสั่งซื้อถึงการจ่ายเงินด้วยทรัพย์สินทางปัญญา
- เพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพของ Production Line
- ปรับปรุงการสื่อสารระหว่างฝ่ายภายในองค์กรเกี่ยวกับไอเดียใหม่ๆ พร้อมกระบวนการจัดเก็บข้อมูลความลับ
4. มุมมองด้านการเรียนรู้และพัฒนา (Organizational Development Aspect)
- สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการวิจัยพัฒนาเชิงกลยุทธ์ด้วยข้อมูลด้านทรัพย์สินทางปัญญา
- ให้ความรู้ ความเข้าใจเรื่องการวิเคราะห์เทรนด์เทคโนโลยี และสิทธิบัตรของคู่แข่ง
- สร้างความเชื่องโยงระหว่างฝ่าย เช่น ฝ่ายขาย ฝ่ายกฎหมาย ฝ่าย R&D ฝ่ายผลิต ฯลฯ
- สร้างศูนย์กระจายความรู้ด้าน IA เพื่อให้ความรู้แก่พนักงานทุกระดับและส่งต่อถึงคู่ค้าและผู้ถือหุ้น
- กระตุ้นและทำให้พนักงานอยากมีส่วนร่วมกับองค์กรมากขึ้นโดยการให้รางวัลนักประดิษฐ์หรือค่าตอบแทนที่เกี่ยวข้อง
วัตถุประสงค์ด้าน IA แบ่งตาม 4 ปัจจัยของ BSC ที่ได้ยกตัวอย่างตามด้านบนนี้ เป็นแค่ตัวอย่างเพียงเล็กน้อยที่อาจจะเหมาะสมเฉพาะบางธุรกิจ แต่ผมอยากให้ทุกท่านเข้าใจว่าวัตถุประสงค์ด้าน IA ควรถูกนำไปพิจารณาใช้แบบ Cross Functional หรือให้เป็นความรับผิดชอบของหลายๆฝ่ายในองค์กร เช่น การอนุญาตใช้สิทธิ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับหลายๆฝ่ายแน่นอน เช่น การเงินและบัญชี ฝ่ายขาย ฝ่าย R&D ฝ่ายผลิต ฯลฯ ก็จะนำไปแปลงเป็นกิจกรรมที่ต้องแชร์ระหว่างฝ่าย เช่น การตรวจเช็คยอดขายและบัญชีของผู้ใช้สิทธิเพื่อวิเคราะห์ค่าสิทธิที่ควรได้รับสำหรับฝ่ายบัญชี และการตรวจสอบคุณภาพของสิ่งที่ผลิตขึ้นมาตามสิทธิที่ถ่ายทอดไปโดยฝ่ายผลิต รวมถึงมีวิธีการวัดผลประสิทธิภาพ (KPIs) ของกิจกรรมทั้งหมด เช่น จำนวนและรายได้จากการอนุญาตใช้สิทธิ เปอร์เซ็นสินค้าที่ไม่ผ่าน QC จำนวนการร้องเรียนจากลูกค้า ฯลฯ เพื่อส่งต่อไปถึงกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ขององค์กรต่อไป
วีระเวช อรธนาลัย (กาย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทลเล็คชวล ดีไซน์ กรุ๊ป จำกัด