
ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาธุรกิจจำนวนมากต่างต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากการที่เทคโนโลยีต่าง ๆ ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้คนสามารถติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล รับชมสื่อบันเทิง รวมถึงทำธุรกรรมผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยผู้บริโภคในปัจจุบันจึงมีแนวโน้มในการจับจ่ายใช้สอยผ่านทางช่องทางออนไลน์มากขึ้น ด้วยเหตุนี้ บริษัทจำนวนมาก จึงต้องมีการปรับโครงสร้างทางการตลาดและลงทุนครั้งใหญ่ เพื่อสร้างระบบสำหรับการซื้อขายออนไลน์ขึ้นมา รวมถึงปรับปรุงระบบให้มีเสถียรภาพสำหรับให้ผู้ใช้งานเกิดความพึงพอใจ
นอกเหนือไปจากการซื้อ-ขาย สินค้าแล้ว กิจกรรมจำนวนมากของผู้คนปัจจุบัน ก็สามารถทำผ่านระบบออนไลน์ หรือแอปพลิเคชัน ได้อยากสะดวก ไม่ว่าจะเป็น การทำธุรกรรมทางการเงิน การสั่งอาหาร การส่งสินค้า การประชุมอบรม รวมไปถึงรูปแบบความบันเทิงต่าง ๆ ก็มีการพัฒนามาอยู่ในรูปแบบแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์แล้วในปัจจุบัน
ดังนั้น จากรูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน ผู้ให้บริการต่าง ๆ มีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินธุรกิจของตนเองให้อยู่ในรูปแบบออนไลน์กับมากขึ้น และได้แปรสภาพกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของการแข่งขันทางธุรกิจ ที่ต่างพัฒนาแอปพลิเคชันของตนเองให้เหนือกว่าผู้อื่น เพื่อสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ ด้วยเหตุนี้ การคุ้มครองนวัตกรรมด้านซอฟต์แวร์จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่หลายธุรกิจเริ่มศึกษาและให้ความสำคัญ
ซอฟต์แวร์(Software) จดสิทธิบัตรได้ไหม?
ในประเทศไทย กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่ให้การคุ้มครองการประดิษฐ์ประเภทซอฟต์แวร์ หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น สามารถแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ดังต่อไปนี้
1. ลิขสิทธิ์ (พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537)
โดยปกติแล้ว งานที่อยู่ภายใต้ขอบเขตความคุ้มครองของกฎหมายลิขสิทธิ์ จะเป็นงานที่อยู่ในลักษณะของงานสร้างสรรค์ อย่างที่เรารู้จักกันดี เช่น งานวรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม ภาพยนตร์ หรือสิ่งบันทึกเสียง เป็นต้น แต่ในส่วนของ “โปรแกรมคอมพิวเตอร์” นั้น กฎหมายสิทธิบัตรจะกำหนดให้อยู่ภายใต้งานสร้างสรรค์ประเภทวรรณกรรม เนื่องจากลักษณะการสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นจะมีลักษณะคล้ายกับงานเขียน หรือที่เราเรียกกันทั่วไปว่า การเขียนโปรแกรม หรือการเขียนโค้ด นั่นเอง โดยภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมก็จะขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน เช่น Java หรือ Python เป็นต้น
ภายใต้พระราชบัญญัติฉบับนี้ ได้ทำการนิยามโปรแกรมคอมพิวเตอร์ไว้ โดยให้หมายถึง “คำสั่ง หรือชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใดที่นำไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานหรือเพื่อให้ได้รับผลอย่างหนึ่งอย่างใด ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในลักษณะใด”
ซึ่งกฎหมายลิขสิทธิ์ได้ให้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการ เผยแพร่ ทำซ้ำ หรือดัดแปลง คำสั่ง หรือชุดคำสั่งที่เขียนขึ้น แก่ผู้เขียนคำสั่งดังกล่าวเท่านั้น แต่ทั้งนี้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ภายใต้ความคุ้มครองของกฎหมายลิขสิทธิ์นั้นยังถือว่าจำกัด เนื่องจากคุ้มครองแค่เพียงตัวโค้ด (code) ของโปรแกรมเท่านั้น แต่ยังไม่ได้มีขอบเขตความคุ้มครองไปถึงตัวการใช้งาน ฟังก์ชัน ลักษณะเฉพาะของแอปพลิเคชัน หรือโปรแกรมที่มีการซื้อ-ขายกันในเชิงพาณิชย์ ดังนั้น ไม่ว่าทั้งสองซอฟต์แวร์จะมีลักษณะเหมือนกันขนาดไหน แต่หากมีองค์ประกอบที่เป็นชุดคำสั่งที่ไม่เหมือนกัน ก็ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
ในทางกฎหมาย ชุดคำสั่งที่เราเขียนขึ้นนั้นจะเป็นลิขสิทธิ์ของเราในทันทีหลังจากที่เราเขียนเสร็จ โดยที่ไม่ต้องยื่นจดทะเบียน หรือขอรับความคุ้มครองจากหน่วยงานใด แต่ในทางปฏิบัติแล้ว แนะนำว่าหลังจากที่เราเขียนเสร็จ ควรยื่นจดแจ้งลิขสิทธิ์ไว้ต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของและระบุวันที่มีการสร้างสรรค์ สำหรับนำไปอ้างอิงในชั้นศาลกรณีเกิดข้อพิพาท โดยขั้นตอนการจดแจ้ง สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเองที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือมอบหมายให้ทนายความ/ตัวแทน ดำเนินการแทน
2.สิทธิบัตร (พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522)
หากจะพูดกันแบบไม่อ้อมค้อม มาตรา 9 ของพระราชบัญญัติสิทธิบัตรกำหนดไว้ว่าการประดิษฐ์ดังต่อไปนี้
ไม่สามารถขอรับความคุ้มครองเป็นสิทธิบัตรในประเทศไทยได้
- จุลชีพและส่วนประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งของจุลชีพที่มีอยู่ตามธรรมชาติ สัตว์ พืช หรือสารสกัดจากสัตว์หรือพืช
- กฎเกณฑ์และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
- ระบบข้อมูลสำหรับการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
- วิธีการวินิจฉัย บำบัด หรือรักษาโรคมนุษย์ หรือสัตว์
- การประดิษฐ์ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี อนามัยหรือสวัสดิภาพของประชาชน
ดังนั้น ตามที่ระบุในมาตรา 9 ข้างต้น โปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือแอปพิลเคชั่นแบบเพียว ๆ จึงยังไม่สามารถขอรับความคุ้มครองเป็นสิทธิบัตรในประเทศไทยได้ แต่ทว่า ยังคงมีช่องทางที่สามารถขอรับความคุ้มครองได้อยู่ ผ่านการยื่นสิทธิบัตรเป็นอุปกรณ์ที่มีการทำงานร่วมกับระบบ เช่น
บริษัท เอ เป็นผู้ผลิตและพัฒนาเครื่องปรับอากาศภายในอาคาร โดยได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นเครื่องปรับอากาศที่สามารถควบคุมการทำงาน อุณหภูมิ และความชื้นได้ผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ หากบริษัท เอ ยื่นจดสิทธิบัตรเป็นแอปพลิเคชันเพียงอย่างเดียว ก็จะมีโอกาสที่ผู้ตรวจสอบจะปฏิเสธการรับจดทะเบียนเนื่องจากเหตุผลตามมาตรา 9 แต่หากยื่นจดสิทธิบัตรเป็นเครื่องปรับอากาศที่สามารถทำงานร่วมกับระบบบนโทรศัพท์มือถือ ผู้ตรวจสอบก็อาจพิจารณาว่าสาระสำคัญของการประดิษฐ์คือตัวเครื่องปรับอากาศที่เป็นฮาร์ดแวร์ และอาจมีโอกาสในการรับจดทะเบียนที่มากกว่า
บริษัทบี เป็นผู้พัฒนาระบบที่สามารถสั่งซื้อสินค้าได้ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ โดยมีการทำงานร่วมกันระหว่างโทรศัพท์ของผู้ซื้อ โทรศัพท์ของผู้ขาย ตัวประมวลผลกลาง และเซิร์ฟเวอร์กลาง ในลักษณะนี้ สามารถขอรับความคุ้มครองเป็นระบบการทำงานของเครือข่ายทั้งหมดได้ โดยเน้นให้ตัวระบบการทำงานร่วมกันเป็นสาระสำคัญของการประดิษฐ์ ในขณะที่หากยื่นเป็นแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์เพียงอย่างเดียว ก็จะมีความเสี่ยงที่ผู้ตรวจสอบปฏิเสธการรับจดทะเบียนตามมาตรา 9 ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ งานในลักษณะดังกล่าว จะต้องมีการพรรณนาถึงความสัมพันธ์และขั้นตอนการทำงานร่วมกันของอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรมีการทำแผนภูมิที่แสดงถึงการทำงานร่วมกันประกอบด้วย โดยจะต้องไม่ลืมว่า แนวทางการร่างคำขอรับสิทธิบัตร จะต้องมุ่งเน้นไปที่ตัวอุปกรณ์ หรือตัวระบบโดยรวมให้เป็นสาระสำคัญ ซึ่งอาจมีข้อจำกัดอยู่บางประการ เช่น บริษัท เอ ที่มีการยื่นจดสิทธิบัตรเป็นเครื่องปรับอากาศที่สามารถสั่งการได้ผ่านโทรศัพท์มือถือ หากบริษัทมีการทำแอปพลิเคชันเดียวกันไปใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่น เช่น เครื่องซักผ้า ก็จะต้องยื่นจดเป็นสิทธิบัตรอีกฉบับ เช่น เครื่องซักผ้าที่สามารถสั่งการได้ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
ในประเทศไทย งานในลักษณะที่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ รวมถึงงานระบบ สามารถขอรับความคุ้มครองได้ทั้งสิทธิบัตรการประดิษฐ์ หรืออนุสิทธิบัตร ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในการรับจดสิทธิบัตร (เช่น ขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น) และกลยุทธ์การใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาของผู้ประกอบการ แต่ในต่างประเทศ อาจต้องตรวจสอบกฎหมายหรือข้อบังคับกับตัวแทนสิทธิบัตรของประเทศนั้น ๆ ก่อน ว่ามีการอนุญาตให้จดสิทธิบัตรในประเภทใดบ้าง เช่น ในประเทศจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น การประดิษฐ์ที่เป็นการทำงานร่วมกันของอุปกรณ์ หรืองานระบบนั้น จะต้องขอรับความคุ้มครองเป็นสิทธิบัตรการประดิษฐ์เท่านั้น ไม่สามารถขอรับความคุ้มครองเป็นอนุสิทธิบัตรได้
3.ความลับทางการค้า (พระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ. 2545)
ทรัพย์สินทางปัญญาอีกหนึ่งประเภทที่ผู้พัฒนาสามารถใช้ในการคุ้มครองซอฟต์แวร์ได้ นั่นก็คือ ความลับทางการค้านั่นเอง โดยการเป็นความลับทางการค้านั้น ค่อนข้างมีขอบเขตคุ้มครองที่กว้างเมื่อเทียบกับลิขสิทธิ์ หรือสิทธิบัตร เนื่องจากไม่ได้มีการกำหนดขอบเขตงานที่ขอรับความคุ้มครองได้โดยตรง แต่เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ของข้อมูลที่เข้าข่ายการเป็นความลับทางการค้าแทน ซึ่งได้แก่
- เป็นความลับที่บุคคลทั่วไปหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องไม่สามารถเข้าถึงได้
- เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์เชิงพาณิชย์
- มีมาตรการที่เหมาะสมในการเก็บข้อมูลนั้นไว้เป็นความลับ
จากเงื่อนไขในข้างต้น จะเห็นได้ว่ากฎหมายความลับทางการค้าของประเทศไทยนั้น ไม่ได้กำหนดไว้ว่าส่วนใดของซอฟต์แวร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือแอปพลิเคชัน สามารถขอรับความคุ้มครองได้บ้าง หมายความว่า หากสามารถจัดการข้อมูลดังกล่าวได้ถูกต้องตามที่เงื่อนไขกำหนดไว้ทั้งหมด ก็สามารถเป็นความลับทางการค้าได้
ทั้งนี้ กฎหมายความลับทางการค้าไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อคุ้มครองตัวโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือแอปพลิเคชั่นโดยตรง เนื่องจากองค์ประกอบเหล่านี้ จะต้องมีการเปิดเผยต่อสาธารณะและไม่สามารถเป็นความลับได้ เช่น ชื่อแอปพลิเคชัน ระบบการทำงาน หรือฟังก์ชันพิเศษอื่น ๆ ที่จะต้องใช้เพื่อการตลาดอยู่แล้ว แต่จะเน้นให้การคุ้มครองกับข้อมูลลับภายในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับตัวแอปพลิเคชันมากกว่า เช่น ฐานข้อมูลสำหรับปัญญาประดิษฐ์ ฐานข้อมูลผู้ใช้งาน (เช่น รายชื่อผู้ซื้อ-ผู้ขาย หรือปริมาณการใช้งาน) สูตรการคิดคำนวณค่าต่าง ๆ ภายในแอปพลิเคชัน เป็นต้น
ยื่นแบบไหนที่ดีที่สุด?
เนื่องจากทรัพย์สินทางปัญญาแต่ละประเภทที่กล่าวมาในข้างต้นนั้น มุ่งเน้นให้การคุ้มครองในสาระสำคัญที่แตกต่างกัน เช่น ลิขสิทธิ์คุ้มครองเฉพาะชุดคำสั่ง หรือโค้ด (Code) เท่านั้น ในขณะที่สิทธิบัตรให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์กับระบบการทำงาน ในขณะที่ความลับทางการค้าจะคุ้มครองสำหรับข้อมูลภายในที่ใช้ในการประมวลผลหลังบ้าน เป็นต้น ดังนั้น ธุรกิจหรือผู้พัฒนาซอฟต์แวร์จำนวนมากจึงเลือกที่จะใช้กลยุทธ์การบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาแบบผสม (Hybrid Approach) ในการคุ้มครองงานของตน
กลยุทธ์การบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาแบบผสม (Hybrid Approach) กล่าวคือ แทนที่จะเลือกยื่นขอรับความคุ้มครองในทรัพย์สินทางปัญญาประเภทใดประเภทใดประเภทหนึ่ง ผู้พัฒนาจะทำการวางกลยุทธ์ตั้งแต่ต้นว่าสาระสำคัญในส่วนใด สามารถขอรับความคุ้มครองเป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทใดบ้าง และดำเนินการขอรับความคุ้มครองให้ครบ เพื่อที่จะมั่นใจว่า ซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันที่สร้างสรรค์ขึ้นมานั้น จะได้รับความคุ้มครองครบทั้งกระบวนการ
ลิขสิทธิ์ |
สิทธิบัตรการประดิษฐ์ |
อนุสิทธิบัตร |
ความลับทางการค้า |
|
สาระสำคัญที่ได้รับความคุ้มครอง |
คำสั่ง หรือชุดคำสั่งที่เขียนขึ้นเพื่อสั่งการให้ระบบคอมพิวเตอร์ทำงาน |
|
ความลับภายในที่ไม่มีการเปิดเผย เช่น ปัญญาประดิษฐ์ ฐานข้อมูลต่าง ๆ และสูตรการคำนวน |
|
เกณฑ์การพิจารณา |
คุ้มครองทันทีหลังจากเสร็จสิ้นการสร้างสรรค์ผลงาน ไม่ต้องยื่นขอรับความคุ้มครอง แต่แนะนำให้จดแจ้งเพื่อบันทึกเป็นหลักฐาน |
ต้องมีการยื่นขอรับความคุ้มครองเพื่อพิจารณาการรับจดทะเบียน ต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา |
มีระบบการจัดเก็บความลับทางการค้าตามเงื่อนไข และสามารถใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ โดยไม่ต้องยื่นขอรับความคุ้มครอง |
|
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง |
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 |
พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 |
พระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ. 2545 |
|
อายุความคุ้มครอง |
บุคคลธรรมดา – ตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์ และอีก 50 ปี นับตั้งแต่วันที่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่กรรม นิติบุคคล – 50 ปี นับตั้งแต่วันที่สร้างสรรค์ผลงาน หรือวันที่มีการเผยแพร่ผลงาน |
20 ปี นับตั้งแต่วันที่มีการยื่นขอรับความคุ้มครอง (ต้องมีการชำระค่าธรรมเนียมรายปี) |
10 ปี นับตั้งแต่วันที่มีการยื่นขอรับความคุ้มครอง (ต้องมีการชำระค่าธรรมเนียมเพื่อขยายระยะเวลาการคุ้มครอง ตามที่กฎหมายกำหนด) |
ตราบเท่าที่สาระสำคัญยังเป็นความลับ |
การเปิดเผยสู่สาธารณะ |
ไม่บังคับให้เปิดเผย แต่หากมีข้อพิพาทจะต้องแสดงให้ศาลเห็นว่าเป็นผู้สร้างสรรค์ก่อน |
ต้องมีการประกาศโฆษณาต่อสาธารณะ |
เก็บรักษาเป็นความลับ |
|
ค่าใช้จ่าย |
ไม่มีค่าธรรมเนียมในการจดแจ้งด้วยตนเอง แต่อาจมีค่าบริการหากมอบหมายให้ทนายหรือตัวแทนดำเนินการแทน |
ค่าบริการตัวแทนสิทธิบัตร (ถ้ามี) และค่าธรรมเนียมสิทธิบัตร |
ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและซ่อมบำรุงระบบการเก็บรักษาข้อมูลให้เป็นความลับ |
ทั้งนี้ นอกเหนือไปจากการขอรับความคุ้มครองในตัวงานที่เป็นแอปพลิเคชัน หรือซอฟต์แวร์แล้ว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของเราสำเร็จคือ การสร้างภาพจำและความรับรู้ต่อสาธารณะให้สามารถจดแบรนด์ของเราได้ ดังนั้น การขอรับความคุ้มครองในส่วนของสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ และเครื่องหมายการค้า ก็เป็นทรัพย์สินทางปัญญาอีกประเภท ที่บริษัทและผู้พัฒนาจำนวนมาก ผลักดันเพื่อให้แบรนด์ของเราเป็นที่น่าจดจำ และไม่ให้คู่แข่งสามารถลอกเลียนแบบได้โดยง่ายนั่นเอง
IDG จึงพร้อมให้บริการด้านการจดสิทธิบัตรอย่างครบวงจร ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สูง คอยให้คำปรึกษาและดูแลตลอดกระบวนการจดทะเบียน ตั้งแต่การตรวจสอบคุณสมบัติการประดิษฐ์ การเตรียมเอกสาร ไปจนถึงการติดตามผล เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ เรายังมีบริการด้านการออกแบบแบรนดิ้ง โลโก้ และบริการอื่น ๆ ที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของท่านอย่างครบครัน
ดูข้อมูลเพิ่มเติม หรือติดต่อสอบถาม
อีเมล: [email protected]
โทร.: 02-011-7161 ถึง 6
ไลน์: @idgthailand
Facebook: IDGThailand