
เปิดประตูสู่ยุคทองของนวัตกรรมไทย
หลายปีที่ผ่านมา มีงานวิจัยมากมายที่ยังไม่ถูกภาคเอกชนเข้าถึง หรือนำพางานวิจัยนั้นไปสร้างประโยชน์ทั้งกับเชิงสังคมสาธารณะประโยชน์ หรือเชิงพาณิชย์ เนื่องจากเงื่อนไขในการขออนุญาตใช้สิทธิ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าการซื้อสิทธิ ทำให้งานวิจัยส่วนใหญ่ถูกเก็บไว้ “หลับใหลในลิ้นชัก” ไม่ได้เอาไปใช้จริงๆ ไม่ได้สร้างมูลค่าให้กับประเทศ เหมือนซื้อเพชรแล้วเอาไปฝังดิน
วันนี้…เรื่องนี้กำลังจะเปลี่ยนไป!
พระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม (TRIUP Act) จะเป็นเกมเชนเจอร์ที่ปลดล็อคศักยภาพที่ซ่อนอยู่ให้กลายเป็นมูลค่าจริง
“จากศูนย์สู่เศรษฐี” – เรียนรู้จากเรื่องราวสำเร็จของอเมริกา สิ่งที่เราเรียนรู้จากกฎหมายดีๆ ของอเมริกาปี 1980 อเมริกาออกกฎหมาย Bayh-Dole Act ที่เปลี่ยนเกมการวิจัยโลก ผลลัพธ์? สร้างมูลค่าเศรษฐกิจหลายล้านล้านดอลลาร์! ซึ่งไทยเราก็ได้ทำการศึกษาเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ โดยไทยเราได้มีการนำกฎหมายมาปรับปรุงให้มีความเหมาะสมกับบริบทของได้ไทย!
สิ่งที่เราทำ เมื่อปรียบเทียบกับอเมริกา | Bayh-Dole Act (อเมริกา) | TRIUP Act (ไทย) |
---|---|---|
การป้องกันงานนอนลิ้นชัก
| ปล่อยให้เก็บไว้ได้ตลอด | “ใช้ให้เป็นหรือคืนให้ผู้ให้ทุน” ภายใน 2 ปี
|
การดูแลนักวิจัย
| ไม่รับประกันรายได้ชัดเจน | รับประกันการจัดสรรแบ่งรายได้ตั้งแต่แรก |
การควบคุมคุณภาพ | รายงานไม่เข้มงวด
| ต้องรายงานทุกการค้นพบใหม่ทันที |
เรื่องราวความสำเร็จระดับโลกที่เราควรรู้
- Google = งานวิจัยมหาวิทยาลัย Stanford
ก่อนมีกฎหมาย: นิสิต 2 คนทำงานวิจัยเรื่อง PageRank
หลังมีกฎหมาย: Stanford ได้ใบอนุญาตให้ Google → รายได้ 336 ล้านดอลลาร์
ผลกระทบ: Google กลายเป็นบริษัทมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ - ยาต้านการแข็งตัวของเลือด = มหาวิทยาลัย Wisconsin
เรื่องราว: เริ่มจากการวิจัยในปี 1940s
ผลลัพธ์: กลายเป็นยาชีวิตที่ช่วยคนทั่วโลกนับล้าน
บทเรียน: การวิจัยหนึ่งครั้งสามารถส่งผลกระทบได้ตลอดกาล - บริษัทยา Genzyme = MIT
จุดเริ่มต้น: งานวิจัยเรื่อง enzyme therapy
การทำเงิน: ก่อตั้งบริษัทปี 1981
ความสำเร็จ: มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ + ช่วยชีวิตผู้ป่วยหลายแสนคน
ตัวเลขที่พิสูจน์ความสำเร็จ Bayh-Dole Act สร้างให้อเมริกาได้อะไรบ้าง?
- รายได้จากการขายใบอนุญาต: 7,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
- Startup ใหม่: 1,000+ บริษัทต่อปี
- งานใหม่: หลายล้านตำแหน่ง
- สิทธิบัตร: 6,000+ ใบต่อปี
TRIUP Act จะเปลี่ยนแปลงไทยอย่างไร?
ปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนอยู่
ปัญหาเดิม: งานวิจัยดี ๆ กลายเป็น “ขุมทรัพย์ฝังดิน”
- มีเงินสนับสนุนการทำวิจัย แต่ไม่ได้ใช้จริงทั้งในเชิงสาธารณะประโยชน์ และเชิงพาณิชย์
- นักวิจัยไม่มีแรงจูงใจในการคิดค้นงานวิจัยที่ตรงความต้องการของตลาด และภาคเอกชน
- ระบบ และเงื่อนไขของผู้ให้ทุนที่มีความซับซ้อน ต้องใช้ระยะเวลา รวมถึงอาจมีการอนุมัติยาก
วิธีแก้ใหม่: เปิดทางให้นักวิจัยและสถาบันเป็น “เจ้าของผลงาน”
- ขอเป็นเจ้าของได้ถ้ามีแผนใช้งานชัดเจน
- บริหารผลงานเองได้ ไม่ต้องรอขออนุญาตผู้ให้ทุน หากเป็นตามแผนการใช้ประโยชน์ที่ได้แจ้งไว้
- ได้รับผลตอบแทนเป็นแรงจูงใจ
- สร้างแรงจูงใจแบบใหม่
สำหรับนักวิจัย:
- รับประกันการแบ่งผลตอบแทน แม้เกษียณแล้ว
- มีโอกาสเป็นผู้ประกอบการ
- ผลงานได้ใช้จริง ส่งผลกระทบต่อสังคม
สำหรับสถาบัน:
- มีผลตอบแทนเสริมจากการได้รับการสนับสนุนทุนวิจัย
- เปลี่ยนจาก “เขียนรายงาน” เป็น “การสร้างผลกระทบเศรษฐกิจ”
- เชื่อมต่อกับธุรกิจและอุตสาหกรรม
สำหรับประเทศ:
- เปลี่ยนจาก “ใช้เงิน” เป็น “สร้างเงิน”
- เกิดธุรกิจใหม่ สร้างงาน
- อุตสาหกรรมได้เทคโนโลยีใหม่
อุปสรรคที่ต้องระวัง (และวิธีแก้) ความเสี่ยงที่ต้องจับตา
1. คนเก่งหนีไปทำธุรกิจ
- ปัญหา: สถาบันอาจสูญเสียนักวิจัยดีๆ
- วิธีแก้: สร้างระบบให้ทำธุรกิจและสอนได้พร้อมกัน
2. สถาบันใหญ่กินสถาบันเล็ก
- ปัญหา: มีทุนพัฒนาระบบได้มากกว่า
- วิธีแก้: รัฐสร้างระบบสนับสนุนร่วม
3. เน้นทำเงินจนลืมหน้าที่หลัก
- ปัญหา: เอาแต่คิดเรื่องขายของ ลืมสร้างความรู้
- วิธีแก้: สร้างดุลยภาพระหว่างการวิจัยและการใช้ประโยชน์
เตรียมตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลง
สำหรับมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัย:
- จัดตั้ง “ทีมดูแลการถ่ายทอดเทคโนโลยี” ที่เข้าใจทั้งงานวิจัยและธุรกิจ
- สร้างกฎเกณฑ์การแบ่งรายได้ที่เป็นธรรม
- สร้างเครือข่ายกับนักลงทุนและธุรกิจ
- เปลี่ยนตัววัดผลจาก “กี่บทความ” เป็น “ผลกระทบทางเศรษฐกิจอะไร”
สำหรับนักวิจัยทักษะใหม่ที่ต้องมี:
- คิดเรื่องตลาดขณะทำวิจัย: “ใครจะเอาไปใช้?”
- เรียนรู้เรื่องธุรกิจพื้นฐาน
- ฝึกนำเสนอให้นักลงทุนเข้าใจ
- สร้างเครือข่ายกับคนทำธุรกิจ
สำหรับภาคเอกชนโอกาสใหม่ที่เกิดขึ้น:
- เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ จากมหาวิทยาลัยง่ายขึ้น
- ลงทุนร่วมวิจัยกับนักวิชาการได้มั่นใจมากขึ้น
- มีโอกาสได้ talent เก่งๆ มาร่วมงาน
เคล็ดลับความสำเร็จจากเรื่องราวจริง สิ่งที่ทำให้อเมริกาสำเร็จ (และเราเรียนรู้ได้)
1. สร้างระบบนิเวศที่ครบครัน
- มีแหล่งเงินลงทุน (Venture Capital) ที่เข้มแข็ง
- มีตลาดที่พร้อมรับเทคโนโลยีใหม่
- มีวัฒนธรรมการเป็นผู้ประกอบการ
2. ทีมงานมืออาชีพ
- คนที่เข้าใจทั้งเทคโนโลยีและธุรกิจ
- ตัดสินใจได้เร็ว ยืดหยุ่น
- มีเครือข่ายกว้าง
3. มองระยะยาว
- ไม่เร่งเอาผลตอบแทนในปีแรก
สร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับคู่ค้า
ลงทุนแบบ portfolio (กระจายความเสี่ยง)
อนาคตที่รอเราอยู่ความเป็นไปได้ที่น่าตื่นเต้น
ถ้า TRIUP Act สำเร็จ เราอาจเห็น:
- มหาวิทยาลัยไทยติดอันดับโลกด้านนวัตกรรม
- Startup ระดับโลกเกิดจากงานวิจัยไทย
- ผลิตภัณฑ์ “Made in Thailand” ที่ใช้เทคโนโลยีไฮเทค
- รายได้ประเทศจากการส่งออกเทคโนโลยี
สิ่งที่ผู้ให้ทุนต้องเตรียม
1. สร้างระบบสนับสนุนที่ครบ
- ระบบให้คำปรึกษาสำหรับสถาบันเล็ก
- ฐานข้อมูลเทคโนโลยีส่วนกลาง
- ระบบจับคู่เทคโนโลยีกับธุรกิจ
2. พัฒนาบุคลากร
- หลักสูตรฝึกอบรมเรื่องการจัดการสิทธิบัตรและการใช้ประโยชน์
- ระบบให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ
- เครือข่าย mentorship
3. ปรับกฎหมายให้เข้าชุด
- กฎภาษีที่เอื้อต่อการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย
- ระบบประเมินผลที่ดูผลกระทบจริง
- กฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกัน
บทสรุป: เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น
TRIUP Act ไม่ใช่แค่กฎหมายฉบับใหม่ แต่เป็น “จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์” ที่จะเปลี่ยนไทยจาก “ประเทศที่ซื้อเทคโนโลยี” เป็น “ประเทศที่สร้างและขายเทคโนโลยี”
สิ่งที่จะเกิดขึ้น:
- วัฒนธรรมใหม่: นักวิจัยเริ่มคิดเรื่อง “ใช้จริง” มากกว่า “เขียนรายงาน”
- ความสามารถใหม่: สถาบันเรียนรู้การทำงานข้ามสาขา
- ระบบการเงินใหม่: เงินทุนเข้ามาสนับสนุนเทคโนโลยีระยะเริ่มต้น
- กฎหมายใหม่: ระบบสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมที่ครบครัน
หากทุกอย่างดำเนินไปได้ตามแผน TRIUP Act จะเป็นกฎหมายที่เปลี่ยนไทยให้กลายเป็น “เศรษฐกิจฐานความรู้” ที่แท้จริง ด้วยการเปลี่ยน “งานวิจัย” ให้กลายเป็น “พลังขับเคลื่อนประเทศ” ความสำเร็จของ TRIUP Act = ความสำเร็จของเศรษฐกิจไทยในอนาคต
IDG ให้คำปรึกษาและสนับสนุนการดำเนินการตาม TRIUP Act แก่ทุกภาคส่วน (ผู้ให้ทุน, ผู้รับทุน, นักวิจัยรายย่อย) โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจะดูแลตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ เพื่อให้การดำเนินการถูกต้องและราบรื่น รวมถึงช่วยวางระบบและบริหารจัดการโครงการภายใต้ TRIUP Act เพื่อการนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
อีเมล: [email protected]
โทร.: 02-011-7161 ถึง 6
Line: @idgthailand
Facebook: IDGThailand